Uozu 1996 สองสาวญี่ปุ่นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อพวกเธออยากลองของ ณ โรงแรมร้างขึ้นชื่อเรื่องผีดุ

หัวข้อน่าสนใจ

Uozu 1996 สถานที่ที่ในอดีตอาจจะเคยเฟื่องฟู ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้สถานที่เหล่านั้นถูกทิ้งร้าง กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างน่าเสียดาย สถานที่เหล่านี้แหละที่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ในฝันของเหล่าผู้กล้าที่อยากลองพิสูจน์บางสิ่งเหนือธรรมชาติ

เหตุการณ์แบบนี้พบเห็นได้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ตึกร้างย่านสาธรที่ถูกทิ้งร้าง เนื่องจากในอดีตต้องประสบปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้ง ปัจจุบันตึกแห่งนี้ก็มักเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ในใจของเหล่าผู้กล้า ตลอดจนผู้สร้างภาพยนตร์แนวสยองขวัญ ที่มักเลือกใช้โลเคชันแนวนี้เป็นฉากหลัก

ประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องผี ๆ ด้วยความเป็นมาในอดีตที่เกิดสงคราม ประกอบกับความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติยังคงอยู่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย จึงไม่แปลกใจนักที่เรามักจะได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง

และแน่นอนว่าญี่ปุ่นก็ยังคงมีสถานที่ร้างที่ถูกทิ้งไว้มายาวนาน หนึ่งในสถานที่ที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ “โรงแรมซึโบโนะ” โรงแรมร้างที่มีอายุมากกว่า 20 ปี โรงแรมที่ถูกขนานนามว่าผีดุที่สุดในญี่ปุ่น เรื่องราวจะเป็นยังไง วันนี้ ghostsfolder ชวนเพื่อน ๆ ไปสยองพร้อมกัน  

ซึโบโนะ โฮเทล โรงแรมร้างขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยนสุดในญี่ปุ่น

โรงแรมซึโบโนะ (Hotel Tsubono) ตั้งอยู่ในเมืองอุโอซุ จังหวัดโทยามะ ทางตอนเหนือของโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น อุโอซุเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ได้ชื่อว่ามีทัศนียภาพและธรรมชาติสวยงาม อีกทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งออนเซน ทุกหัวมุมเมืองมีแหล่งออนเซนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือโรงแรมซึโบโนะ แหล่งออนเซนใจกลางโรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ในหุบเขาสวยงาม สามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าจากตัวโรงแรมได้

โรงแรมซึโบโนะ
โรงแรมร้างที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในภูมิภาคโฮคุริคุ

ในอดีตซึโบโนะ โฮเทล เคยเป็นโรงแรมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนในโทยามะ ยุคที่โรงแรมกำลังเฟื่องฟู ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้รุ่งเรือง ช่วยให้คนในท้องถิ่นทำมาค้าขาย ประกอบธุรกิจสะดวกขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่มาพักที่แห่งนี้

แต่ในปี 1980 โรงแรมกลับต้องยื่นขอล้มละลายต่อศาลโทยามะ เนื่องจากการลงทุนการก่อสร้างเนสซีแลนด์ที่ต้องใช้ทุนสูงกว่า 100 ล้านเยน ซึ่งทำให้ทางโรงแรมต้องกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ในขณะที่ยอดขายกลับไม่ได้โตตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ในวันที่ 13 พฤษภาคม 1980 ทางโรงแรมจึงได้ยุติการดำเนินกิจการ และโรงแรมก็ถูกทิ้งร้างมาจนถึงทุกวันนี้

คำเล่าขานเกี่ยวกับตำนานผีสิง ณ โรงแรมร้าง

เป็นเวลากว่า 40 ปี โรงแรมแห่งนี้ก็ยังคงถูกทิ้งร้าง ไร้ผู้บริหารคนใหม่ ไร้การฟื้นฟู ไม่เพียงแต่ปิดตำนานโรงแรมแห่งออนเซนที่สวยสุดในภูมิภาคเท่านั้น แต่การปิดตัวของโรงแรม ยังส่งผลให้เศรษฐกิจของคนท้องถิ่นซบเซาตามไปด้วย

ซึโบโนะ โฮเทล กลายเป็นจุดมุ่งหมายของเหล่าผู้กล้าล่าท้าผี หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า คิโมดาเมชิ (Kimodameshi) ประเพณีการล่าท้าผี เป็นกิจกรรมสำหรับคนที่สนใจและอยากพิสูจน์เรื่องราวเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มักจะมีความรู้สึกตื่นตัว อยากค้นหา อยากลองท้าพิสูจน์ และแน่นอนว่าหนึ่งในเป้าหมายอันดับ 1 ของกิจกรรมคิโมดาเมชิ คือตามสถานที่ที่เคยถูกทิ้งร้าง ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงแรม บ้านร้าง และแน่นอนว่าซึโบโนะ โฮเทล ก็หนีไม่พ้นที่พวกเขาอยากลองท้าพิสูจน์

จากตำนานเมืองสู่การหายตัวไปของ 2 เด็กสาวปริศนา

อย่างที่เราได้เกริ่นไปว่า ซึโบโนะ โฮเทล เป็นสถานที่ที่จะเรียกว่าเป็นอันดับต้น ๆ ที่เหล่าผู้กล้าอยากล่าท้าผีอยากไปลองมากที่สุด มีคำบอกเล่าจากคนที่ไปลองมาหลายต่อหลายคนว่า หลังจากที่พวกเขาได้ไปลอง พวกเขาพบบางอย่างผิดปกติเช่น ตอนที่พวกเขาเดินสำรวจในโรงแรม ก็เห็นว่ามีใครบางคนเดินอยู่อีกมุมนึง หรือตอนที่พวกเขาเดินสำรวจ กลับรู้สึกว่าเดินวนไปวนมาซ้ำที่เดิม หรือทำอะไรซ้ำไปมาอย่างไร้เหตุผล หรือบางคนไม่พบความผิดอะไรในโรงแรม แต่เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน ก็พบว่ามีวิญญาณตามมาหลอกหลอนก็มี

โรงแรมผีสิง
จุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของกิจกรรม Kimodameshi

จากคำบอกเล่าของคนที่เคยไปลองพิสูจน์ ไม่ว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นจะเป็นจริงหรือแค่แต่งขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ก็กระตุ้นให้ผู้ที่สนใจมีไฟอยากจะออกไปลองของดูสักครั้ง บางคนก็ไปแล้วกลับมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับบางคนที่ไปก็กลายเป็นตำนานเมืองซะเอง

คดีการหายตัวไปของ 2 เด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังและเป็นที่จับตามองมากสุดของญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น พวกเธอเป็นเด็กสาวมัธยมปลายที่เพิ่งจบการศึกษา “เมงุมิ ยาชิกิ” และ “นารุมิ ทาคุมิ” อายุ 19 ปี พวกเธอมีความสนใจในกิจกรรม Kimodameshi โดยหนึ่งในสถานที่ที่พวกเธอวางแผนอยากไปล่าท้าพิสูจน์สิ่งเหนือธรรมชาติก็คือที่ซึโบโนะ โฮเทล ในจังหวัดโทยามะนี่เอง

เมงุมิและนารุมิ
2 เด็กสาวหายตัวไปลึกลับเมื่อพวกเธอออกล่าท้าผี

ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 หลังจากที่พวกเธอเลิกงาน Part-Time ที่ทำอยู่ เวลาประมาณ 21:00 น. เมงุมิก็ได้ขับรถซุบารุ Vivio สีดำมารับนารุมิ แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังอุโอซุ

เวลาประมาณ 21:30 พวกเธอแวะพักที่สวนสาธารณะไคโอมารุประมาณ 30 นาที เพื่อส่งข้อความบอกเพื่อน ๆ ถึงแผนการของพวกเธอ ก่อนจะเดินทางต่อ มีพยานอ้างว่าเห็นรถของพวกเธอแวะจอดเติมน้ำมันที่ปั๊มในเมืองอุโอซุเวลา 22:00 น. และในเวลา 23:00 น. เธอส่งข้อความผ่านเพจเจอร์บอกเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า “มาถึงอุโอซุแล้วนะ” และนั่นเป็นข้อความสุดท้ายของเธอที่เพื่อน ๆ ได้รับ

เมื่อพวกเธอไม่กลับบ้านในคืนนั้น ทางครอบครัวจึงเริ่มเป็นห่วง จึงได้เข้าแจ้งความไปยังท้องที่ การออกตามหากินเวลาหลายวัน ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ไม่พบแม้แต่เงาของรถซุบารุ Vivio สีดำที่เมงุมิใช้ขับมาในคืนนั้น

ข่าวการหายตัวไปของ 2 เด็กสาวกลายเป็นข่าวโด่งดังทั่วญี่ปุ่น ชาวเน็ตและผู้เชี่ยวชาญเริ่มมีการตั้งทฤษฎีต่าง ๆ นานา บางก็ตั้งข้อสังเกตว่า พวกเธออาจจะมาฆ่าตัวตายหรือไม่ แต่ทฤษฎีนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะก่อนออกจากบ้าน พวกเธอก็ส่งข้อความผ่านเพจเจอร์ไปบอกครอบครัวว่าจะเดินทางไปไหน ประกอบกับแผนการล่าท้าผีที่พวกเธอบอกเพื่อนในกลุ่มก่อนหายตัวไป นั่นแสดงว่า พวกเธอมีเพียงแผนการท้าพิสูจน์เรื่องเหนือธรรมชาติเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ หนึ่งในนั้นคือการตั้งข้อสงสัยว่า หรือพวกเธอจะโดนสายลับเกาหลีเหนือจับกุมตัวไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ใช่การพูดมั่ว แต่สมัยนั้นมันมีเหตุการณ์ที่สายลับเกาหลีเหนือจับกุมตัวชาวญี่ปุ่นไปเป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีที่ฟังดูแล้วมีน้ำหนักมากสุดคือ ข้อสงสัยที่ว่าพวกเธออาจโดนทำร้ายและฆาตกรรม

ทฤษฎีหลังดูมีน้ำหนักและความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากในยุคนั้น บริเวณเมืองอุโอซุที่ถูกทิ้งร้างกลายเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกแกงค์มอเตอร์ไซค์ หรือที่คนญี่ปุ่นในพื้นที่เรียกกันว่า “โบโซโซคุ” กลุ่มนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตะวันตก ว่ากันว่าพวกนี้เป็นพวกต่อต้านสังคม มักก่อคดีอาชญากรรมและสร้างความเดือนร้อนในท้องที่ เห็นได้จากสภาพโรงแรมที่กระจกแตก ข้าวของพัง ก็เป็นฝีมือของพวกโบโซโซคุทั้งสิ้น

เป็นเวลากว่า 20 ปี คดีการหายตัวไปของ “เมงุมิ ยาชิกิ” และ “นารุมิ ทาคุมิ” ก็ยังคงปิดไม่ได้ เนื่องจากไม่พบหลักฐานใด ๆ แม้แต่รถยนต์ของพวกเธอเอง จนกระทั่งวันที่ 4 มีนาคม 2563 ตำรวจท้องที่แจ้งว่าพบรถยนต์ซุบารุ Vivio สีดำคันหนึ่งจมอยู่ก้นทะเลบริเวณท่าเรือฟุจิกิ เมืองอิมิซุ ซึ่งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะไคโอมารุที่พวกเธอแวะจอดในคืนนั้น

ข่าวการพบหลักฐานการหายตัวไป
ตำรวจท้องที่พบรถของสองสาวในก้นทะเลเมื่อผ่านไปกว่า 20 ปี

ในรถพบโครงกระดูกมนุษย์กระจัดกระจาย ผลการตรวจ DNA ปรากฏแน่ชัดแล้วว่า นี่คือโครงกระดูกของ “เมงุมิ ยาชิกิ” และ “นารุมิ ทาคุมิ”

หลังจากการพบโครงการกระดูกและพิสูจน์ได้แล้วว่าพวกเธอเสียชีวิตในรถที่พุ่งตกลงไปในน้ำ ไม่นานหลังจากนั้น มีชาย 3 คนเข้าแจ้งความกับตำรวจท้องที่ว่า ในคืนนั้นพวกเขาเห็นรถของพวกเธอจอดอยู่ที่ริมหน้าผา พวกเขาเข้าไปทักทาย แต่รถของ 2 สาวก็พุ่งตกลงไปในทะเล

ประเด็นนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมกว่า 20 ปี พวกเขาหายเงียบ ไม่มีให้ปากคำเป็นพยาน แต่พวกเขาอ้างเพียงแค่ว่า กลัวว่าจะโดนกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุทำให้พวกเธอตาย แต่คำให้การของชายทั้งสามกลับไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ตำรวจและประชาชนเชื่อสนิทใจ

ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอเอาผิดพวกเขาได้ คดีนี้จึงไม่สามารถปิดได้มาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เรื่องราวของ “เมงุมิ ยาชิกิ” และ “นารุมิ ทาคุมิ” ได้กลายเป็นตำนานเมืองควบคู่ไปกับตำนานโรงแรมผีสิง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Uozu 1996

สรุป

จากเหตุการณ์ Uozu 1996 ยิ่งตอกย้ำให้เรื่องราวสยองขวัญของ ซึโบโนะ โฮเทล ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่ที่เฮี้ยนที่สุดในภูมิภาคโฮคุริคุ แม้ว่าการเสียชีวิตของ 2 หญิงสาวอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับผีสางเลยก็ตาม อนึ่งสถานที่แห่งนี้ยังถูกใช้เป็นโลเคชันถ่ายทำภาพยนตร์สยองขวัญ

การรื้อถอนโรงแรม
ทางการญี่ปุ่นอนุมัติงบถื้อถอนโรงแรมที่ถูกทิ้งร้างกว่า 40 ปี

ปัจจุบันท้องที่ได้รับงบสนับสนุบจากสำนักงานการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทิ้งร้างเป็นเวลานานกว่า 40 ปี เนื่องจากเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกแกงค์โบโซโซคุและเหล่าคิโมดาเมชิที่สร้างความเสียหายและสร้างความเดือดร้อนให้คนภายนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านในพื้นที่รู้สึกโล่งใจที่ทางการลงมือรื้อถอนโรงแรมผีสิงแห่งนี้สักที