เทศกาลฮาโลวีนเพิ่งผ่านไปหมาด ๆ เมื่อ 2 วันก่อนเราจะเห็นเหล่าดารา อินฟลู หรือแม้แต่คนทั่วไปอย่างเรา ๆ ต่างโคฟเวอร์แต่งตัวเป็นผีบ้าง ปีศาจบ้าง เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสีสันของเหล่าผู้คนที่แต่งตัวเป็นผีชนิดต่าง ๆ สนุกสนานกันถ้วนหน้า สมกับเป็นเดือนสยองขวัญเสียจริง
พอพูดถึงวันฮาโลวีนทั้งที เราก็อยากจะมาเล่าเกี่ยวกับประวัติวันฮาโลวีน ว่าแท้จริงแล้ว วันที่ 31 ตุลาคมที่เราต่างสนุกสนานกับเทศกาลผีที่หลายประเทศทั่วโลกจัดขึ้นเนี่ยมันมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วตามธรรมเนียมดั้งเดิมเขาทำอะไรกันบ้าง วันนี้ ghostsfolder เอาเกร็ดความรู้น่ารัก ๆ มาให้ชาวโกสต์อ่านกัน
จุดเริ่มของวันฮาโลวีน เริ่มจากงานฉลองเพื่อความบันเทิงจริงหรือไม่ ?
ถึงแม้บรรยากาศของวันฮาโลวีนจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานและสีสันยามค่ำคืน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วจุดเริ่มต้นของเทศกาลนี้ไม่ได้เริ่มมาจากการเฉลิมฉลองเพื่อความเริงใจนะ แต่มันเริ่มจาก “ความเชื่อ” ผสมกับพิธีกรรมทางศาสนาของชาวตะวันตกต่างหาก
เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อ 2,000 ปีก่อน ชาวเคลต์ผู้อาศัยอยู่ในยุโรป (ซึ่งในปัจจุบันก็คือแถบประเทศไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และฝั่งเศสตอนเหนือ) พวกเขาเป็นชาวพื้นเมืองที่มีเทศกาลขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปี เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นการสิ้นสุดฤดูร้อน เริ่มต้นสู่ฤดูหนาว และเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูเก็บพืชผลทางการเกษตร
ต้องบอกอย่างนี้ก่อน คนยุโรปในยุคนั้นจะกลัวฤดูหนาวมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่มืดมิด ไม่สามารถทำการเกษตรได้ อีกทั้งพวกเขาเชื่อว่านี่คือช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับความตายของมนุษย์

ในวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งก็คือวันก่อนปีใหม่ พวกเขาเชื่อว่านี่คือวันที่เส้นแบ่งระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตายเลือนลาง พวกเขาจึงมีการเฉลิมฉลองกันในวันก่อนปีใหม่ เรียกว่า “เทศกาลซัมเฮน” ในวันนี้วิญญาณจากต่างโลกจะปรากฎตัว ส่งผลให้ “ดรูอิท” หรือนักบวชชาวเคลต์สามารถทำนายดวงชะตาได้ง่าย (การใช้ชีวิตของคนในยุคนั้นที่พึ่งพาสภาพอากาศ ซึ่งไม่ค่อยแน่นอน การดูดวงจึงมีอิทธิผลต่อการใช้ชีวิตของพวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวอันมืดมิด)
ตาม ประวัติวันฮาโลวีน พิธีกรรมซัมเฮน ดรูอิทจะก่อกองไฟอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจะมาเข้าร่วมพิธีรอบกองไฟ มีการบูชาเทพเจ้าเซลติก โดยการใช้พืชและสัตว์ในการบูชายัญ ชาวเซลติกจะสวมชุดที่ทำจากหัวและหนังสัตว์ ผู้คนจะทำนายดวงชะตาของกันและกัน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรม พวกเขาจะจุดไฟในเตาผิงที่มอดดับไปแล้วอีกครั้งด้วยกองไฟอันศักดิ์สิทธิ์ในเย็นวันนั้น เพื่อให้ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ปกป้องพวกเขาในฤดูหนาว
การเข้ามาของศาสนาคริสต์ ส่งผลต่อวันแห่งวิญญาณไปตลอดกาล
ในช่วงปี ค.ศ.43 จักรวรรดิโรมันได้พิชิตเมื่อเคลต์เกือบทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อเทศกาลซัมเฮน เมื่อโรมันได้เอา 2 เทศกาลสำคัญของตนเองมาผสมกันระหว่างพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์และพิธีกรรมพื้นเมืองของชาวเคลต์ ในศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกนั้น ให้วันที่ 2 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น “วันวิญญาณ” วันสำคัญที่มนุษย์จะได้รำลึกถึงดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้ว
ด้วยความที่พิธีกรรมของศาสนาคริสต์ดูคล้ายกับเทศกาลฮันเซน ไม่ว่าจะเป็น การก่อกองไฟอันศักดิ์สิทธิ์ ขบวนพาเหรดที่ผู้คนต่างแต่งตัวเป็น ผี ปีศาจ นักบวช เทวดา เรียกว่า “วันฉลองนักบุญ” ซึ่งมีที่มาจากการที่สมเด็จพระสันตะปาปาโบนิเฟซที่ 4 ได้อุทิศวิหารแพนธีออนในกรุงโรม มอบให้แก่มรณสักขีชาวคริสต์ทุกคน
ในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี หรือก็คือวันก่อนหน้าวันฉลองนักบุญ เริ่มมีการเรียกชื่อว่า All-Hallows Eve หรือ All Saints’ Day คำว่า Hallow แปลว่า “นักบุญ” ส่วนคำว่า een แปลว่า “ตอนเย็น” ทั้ง 2 คำนี้ผสมกันจึงมีความหมายว่า “ค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งเป็นคืนที่จะมีการสวดมนต์ให้แก่ดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์ หรือที่ยังติดอยู่ในไฟชำระ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “วันฮาโลวีน” ที่เราเฉลิมฉลองกันอยู่ในปัจจุบันนี่เอง
สัญลักษณ์และการเฉลิมฉลอง สัญลักษณ์แห่งวันฮาโลวีน
หลังจากได้รู้ ประวัติวันฮาโลวีน ว่ามีที่มาที่ไปจากความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนาของชาวตะวันตก แต่การเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีนในปัจจุบันที่หลายประเทศทั่วโลกจัดขึ้น เรามักจะได้เห็นการเฉลิมฉลองและการใช้สัญลักษณ์บางอย่าง เพียงแค่เห็นก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ต้องเป็นวันฮาโลวีนแน่นอน แล้วสัญลักษณ์ที่ว่ามีอะไร มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ลองมาหาคำตอบกัน
ความเชื่อเรื่องแมวดำกับแม่มด
ตามปกติ “แมว” ถูกยกย่องว่าเป็นสัตว์นำโชค บางความเชื่อก็ว่าเป็นสัตว์ที่เชื่อมโยงกับเทพเจ้า แต่สำหรับแมวดำกลับไม่เป็นแบบนั้น เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคที่ความเชื่อเรื่องแม่มดกำลังแพร่ขยายในโลกตะวันตก พวกเขาให้คำอธิบายว่า แม่มดมักปรากฏพร้อมกับแมวสีดำ ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงคู่กาย นอกจากนี้ หากพบว่าใครเป็นแม่มด จะพบว่าเขาหรือเธอคนนั้นมักเลี้ยงแมว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแมวสีดำ แมวดำจึงกลายเป็นเหมือนสัตว์ที่อยู่คู่กายกับปีศาจ ว่ากันว่าจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาให้ครอบครัว

ประวัติวันฮาโลวีน เกี่ยวกับการกัดแอปเปิ้ล
อีกหนึ่งกิจกรรมสนุก ๆ ที่หนุ่มสาว หรือแม้กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงนิยมเล่นกันในวันฮาโลวีน คือ กิจกรรมกัดแอปเปิ้ล (Bobbing for Apples) ลักษณะการเล่นคือ ให้เติมน้ำเย็นลงในอ่างหรือถาดใส่น้ำอะไรก็ได้เกือบเต็ม หลังจากนั้นจะโยนแอปเปิ้ลประมาณ 1 กิโลกรัมลงไปในน้ำ จากนั้น ให้แต่ละคนแข่งกันกัดแอปเปิ้ลแข่งกัน โดยจะต้องใช้เวลาภายใน 2 นาที มีข้อแม้ว่า จะต้องใช้เพียงปากในการกัดเท่านั้น ไม่สามารถใช้มือช่วยได้ มือจะต้องไขว้ด้านหลัง หากใครกัดแอปเปิ้ลได้คนแรก จะถือว่าเป็นผู้ชนะในเกมส์นั้น

แม้จะเป็นกิจกรรมที่เล่นกันในช่วงฮาโลวีน แต่จุดเริ่มต้นของเกมส์นี้ใน ประวัติวันฮาโลวีน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปีศาจ ความกลัว หรือความตายเหมือนเกมส์อื่น หากแต่เริ่มต้นจากเรื่องราวของความรัก ว่ากันว่า การกัดแอปเปิ้ลเกี่ยวข้องกับคู่ครอง หากใครกัดแอปเปิ้ลได้คนแรก เชื่อกันว่า จะได้แต่งงานเป็นคนแรก
หญิงสาวจะต้องพยักหน้าในน้ำ แล้วกัดแอปเปิ้ลที่เป็นชื่อของชาวหนุ่มที่หมายปอง หากกัดได้คำแรก คู่ของตนจะถูกกำหนดให้เป็นความรัก หากกัดคำที่ 2 ชายหนุ่มจะตามจีบเธอ แต่ความรักของพวกเธอจะจางหายไปในที่สุด แต่หากต้องกัดแอปเปิ้ลถึง 3 ครั้ง นั่นหมายความว่า ความรักของพวกเธอจะไม่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่า หากนำแอปเปิ้ลที่กัดแล้วไปไว้ใต้หมอน จะได้พบกับเนื้อคู่ในฝัน
การเล่น Trick Or Treat
กิจกรรม Trick Or Treat เป็นกิจกรรมที่ปรากฏในทศวรรษที่ 1930 และ 1940 ตามสโลแกน “จะยอมแพ้หรือจะให้หลอก” การเล่นที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อแทนที่การเล่นช่วงยุค 1930 ที่ผู้คนมักจะไปเคาะประตูหน้าบ้านในเชิงก่อกวนมากกว่าสังสรรค์ เช่น ทุบโคมไฟแตก ปาข้าวของ ก่อกวนผู้อยู่อาศัย จนได้ฉายาว่ามันคือ Black Halloween ซึ่งเป็นการสร้างความวุ่นวานในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
เมื่อถูกร้องเรียนจากผู้คนในเมืองเป็นจำนวนมาก อเมริกาจึงพยายามสั่งงดเลิกการกระทำดังกล่าว แล้วให้แทนที่ด้วยกิจกรรม Trick Or Treat เด็ก ๆ จะไปเคาะประตูตามบ้านเพื่อขอขนม หากเจ้าของบ้านเปิดประตูออก เด็กจะพูดว่า Trick Or Treat เลือกว่าจะ “ให้” หรือ “จะโดนหลอก”

หากเจ้าของบ้านเลือก Treat จะหมายถึง “ยอมแพ้” เพียงให้ขนม เด็ก ๆ ก็จะจากไป แต่หากเลือก Trick เด็ก ๆ ก็จะทำหน้าตาหลอกพวกเขาด้วยชุดแต่งกายผีที่พวกเขาสวมใส่จนกว่าเจ้าของบ้านจะมอบขนมให้พวกเขา
การแกะสลักฟักทองหน้าผี
หนึ่งในสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับ ประวัติวันฮาโลวีน มาอย่างยาวนาน ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีกับการแกะสลักฟักทองหน้าผี เรามักจะพบเห็นการใช้สัญลักษณ์ฟักทองแกะสลักในการตกแต่งประดับประดาตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งฟักทองหน้าผีก็เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับวันฮาโลวีนมาช้านาน
เราเรียกสัญลักษณ์นั้นว่า “แจ็ค โอแลนเทิน” เรื่องเล่าในตำนานของชาวไอริชเกี่ยวกับชายที่ชื่อ “สตริงกี้ แจ็ค” หรือ “แจ็ค ชายผู้ขี้เหนียว” ตามเรื่องเล่าในนิทานพื้นบ้านกล่าวว่า เขาคือชายผู้หลอกลวงปีศาจถึง 3 ครั้ง ในครั้งแรกเขาโน้มน้าวให้ปีศาจกลายร่างเป็นเหรียญที่แจ็คใช้ซื้อเครื่องดื่ม แล้วเขาเก็บเหรียญนั้นไว้ในกระเป๋ากางเกงที่มีไม้กางเขนอยู่ ทำให้ปีศาจไม่สามารถกลายร่างเดิมได้ การหลอกลวงครั้งต่อมา เขาหลอกล่อให้ปีศาจปีนขึ้นต้นไม้ โดยที่เขาสลักไม้กางเขนไว้บนเปลือกไม้

เมื่อแจ็คตาย วิญญาณของเขาถูกปฏิเสธโดยพระเจ้าไม่ให้ขึ้นสวรรค์ และถูกปฏิเสธโดยปีศาจไม่ให้ลงนรก ทำให้วิญญาณของเขากลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนบนโลกอันมืดดำไปชั่วนิรันดร์ มีเพียงถ่านไฟที่ลุกไหม้เป็นแสงสว่างนำทาง เขาใส่มันไว้ในหัวผักกาด เที่ยวเดินเตร็ดเตร่เร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในคืนก่อนวันฉลองนักบุญ
แต่ก่อนชาวไอริชใช้หัวผักกาดสลักเป็นรูปปีศาจ เพื่อข่มขู่วิญญาณของแจ็คผู้เร่ร่อน แต่เมื่อชาวไอริชอพยพมายังอเมริกา พวกเขาพบว่าดินแดนแห่งนี้มีฟักทองพื้นถิ่นเป็นจำนวนมาก จึงเปลี่ยนจากหัวผักกาดมาเป็นหัวฟักทองตราบจนทุกวันนี้
การจุดเทียนและกองไฟ
ตาม ประวัติวันฮาโลวีน ว่ากันว่าเป็นวันที่โลกแห่งดวงวิญญาณถูกเปิดออก ผู้ที่เสียชีวิตหรือเสียชีวิตไปนานแล้ว ผู้กำลังมองหาชีวิตหลังความตาย มีเพียงแสงสว่างเท่านั้นที่จะช่วยส่องแสงนำทางให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้นได้พบกับชีวิตหลังความตาย สมัยก่อนใช้การก่อกองไฟขนาดใหญ่ ต่อมาเริ่มมีการใช้เทียน ปัจจุบันสามารถจุดตะเกียงทดแทนได้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากวันฮาโลวีน เรามักจะพบว่าตามบ้านเรือนและสถานที่สาธารณะต่างจุดไฟส่องสว่างกันทั่วเมือง เพื่อนำทางวิญญาณเหล่านั้น
สรุป
จาก ประวัติวันฮาโลวีน ที่เราได้ศึกษามา จะเห็นว่าจุดเริ่มต้นของเทศกาลที่สนุกสนานแบบนี้ ไม่ได้เกิดจากความบันเทิงหรือการเฉลิมฉลองเลย แต่กลับเป็นวันสำคัญทางศาสนาที่เชื่อมโยงกับโลกของวิญญาณตามตำนานเรื่องเล่าที่เล่าขานกันต่อ ๆ กันมาร่วม 2,000 ปี ถึงอย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ฮาโลวีนก็ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ เพียงแต่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นวันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานที่เรามักจะแต่งตัวโคฟเวอร์เป็นผีในตำนาน หรือจะเป็นผีในโลกภาพยนตร์ที่ชอบได้
				
															

