ฆ่าหั่นศพ หนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป พร้อมตั้งคำถามกับความอำมหิตโหดเหี้ยมจากปลายมีดเปื้อนเลือด ทำไปเพื่ออะไร? ซึ่งในประเทศไทยของเราเองก็มีคดีแนวนี้ไม่น้อย และไม่แปลกที่ทั่วโลกส่วนใหญ่แล้วคดีฆ่าหั่นศพจะเป็นหนึ่งในวิธีกำจัดศพที่ดีที่สุดของฆาตกร มาดูกันว่า 5 คดีที่เรานำมาในวันนี้ จะโหดขนาดไหน
ฆ่าหั่นศพ : Butcher Baker Murder – โรเบิร์ต แฮนสัน
‘โรเบิร์ต แฮนสัน’ (Robert Hanson) ไม่ใช่ฆาตกรในคดีฆ่าหั่นศพ แต่เป็นคดีฆ่าข่มขืนโดยการใช้มีดเชือดคอ เขาเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1939 ก่อคดีลักพาตัว ข่มขืนและสังหารผู้หญิง อย่างน้อย 17 คนในและละแวกแองเคอเรจ รัฐอะแลสกา เป็นลูกชายของเจ้าของร้านขายขนมปังเบเกอรี่เล็ก ๆ แต่เบื้องหลังเป็นพวกโรคจิตที่คอยล่าหญิงสาวเพื่อฆ่าและเชือด ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยถูกดำเนินคดีและคุมขังในข้อหาลักพาตัวและข่มขืน และได้รับการปล่อยตัวตามกำหนด เมื่อวัยเยาว์เขาได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่ามีอาการ “บุคลิกเหมือนเด็ก” (infantile personality) ซึ่งจะแสดงความหมกมุ่นอยู่กับการกลับไปหาคนที่เขารู้สึกว่าทำผิดต่อเขา
แต่แฮนสันเริ่มสังหารจริงเมื่อประมาณปี 1972 โดยเหยื่อคนแรกของเขาคือ ‘เซเลีย แวน ซานเตน’ (Celia van Zanten) อายุ วัย 18 ปี เขาจะเฝ้าหาเหยื่อที่ถูกตาถูกใจ บังคับให้ขึ้นรถและเอาปืนจ่อ ขับรถพาเธอไปยังบ้านพักและลงมือข่มขืน ก่อนจะพาเธอไปในพื้นที่รกร้างและเริ่มเล่นเกม “ตามล่า” ท้ายที่สุดก็ยิงเธอจนเสียชีวิตยิงหรือแทงเธอ เหยื่อคนที่สองคือ ‘ซินดี้ พอลสัน’ (Cindy Paulson) วัย 17 โดยทำการจ้างเธอเป็นเงิน 200 ดอลลาห์ เพื่ออรัลเซ็กส์ให้เขาในรถ ก่อนจะเอาปืนจี้และพาเธอไปยังบ้านของเขา เธอถูกจับมัดไว้กับเสาบ้านชั้นใต้ดิน โดนทารุณร่างกายและข่มขืน แต่สุดท้ายเธอกหนีออกมาได้หลังจากที่เขาบอกกับเธอว่าจะพาไปที่กระท่อมน้อย ๆ เหยื่อของเขาล้วนแล้วถูกข่มขืนทุกราย และมีบางส่วนสามารถหนีไปได้ แต่ที่เหลือต้องเสียชีวิตลง
เขาถูกจับกุมและถูกตัดสินลงโทษในปี 1983 และถูกตัดสินจำ คุก 461 ปี โดยไม่มีโอกาสได้รับทัณฑ์บน และได้เสียชีวิตในปี 2014 ด้วยสาเหตุตามธรรมชาติเนื่องมาจากสภาวะสุขภาพที่ยืดเยื้อเมื่ออายุ 75 ปี
ฆ่าหั่นศพ : Crocodile Man – โจเซฟ ดี. บอล
อีกหนึ่งคดที่ฆาตกรไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่ส่งไม้ต่อให้กับสัตว์เลี้ยงเขา ‘โจเซฟ ดี. บอล’ (Joseph D. Ball) เติบในเมืองเอลเมนดอร์ฟ รัฐเท็กซัส เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย ก่อนที่ในช่วงปี 1930 จะแยกตัวเองออกมาเพื่อเปิดร้านเหล้ากึ่งโรงแรมในเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของซานอันโตนิโอ ชื่อ ‘Sociable Inn’ และซื้อจระเข้ 5 ตัว มาเลี้ยงไว้ในบ่อ กลายเป็นไอเดียที่ดึงดูดลูกค้าหลั่งไหลเข้ามา และได้โชว์พิเศษในคืนวันเสาร์ด้วยการป้อนอาหารให้กับจระเข้
ก่อนที่ในปี 1934 ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า ‘มินนี่ ก็อดฮาร์ท’ รับเข้ามาทำงานด้วยและทั้งคู่ก็คบหาดูใจกัน ไม่นานก็ชอบกับพนักงานเสิร์ฟหญิงคนหนึงที่ชื่อว่า ‘ดอลเลอร์ บันนี่ กู๊ดวีล’ โดยที่มินนี่ไม่รู้ตัว แต่โจบอลก็ยังไปชอบพอกับหญิงสาวอีกคนที่ชื่อว่า ‘ฮาร์เซล บราวน์’
ในปี 1937 หลังจากที่ฮาร์เซลทำงานได้ไม่นาน มินนี่แฟนคนแรกก็หายตัวไป และโจบอลก็ได้แต่งงานกับดอลเลอร์ พร้อมเล่าเรื่องการหายตัวไปของมินนี่และสารภาพว่าเขาเป็นคนฆ่ามินนี่เองกับมือ แต่ดอลเลอร์คิดว่าเป็นมุขตลกเลยไม่ได้ไปเล่าให้ใครฟัง ต่อมาในเดือนมกราคม ดอลเลอร์เกิดอุบัติเหตุจนต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง มีข่าวลือจากชาวบ้านว่าอาจจะโดนจระเข้กัดตอนให้อาหารอยู่ ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ฮาร์เซลก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาในปี 1938 ‘จูเลีย เธอร์เนอร์’ วัย 23 ปี พนักงานในบาร์ของโจบอลหายตัวไป ทำให้ตำรวจเข้ามาสอบปากคำ แต่เขาได้แจ้งว่าเธอย้ายออกไปแล้ว
ผ่านไป 2 เดือนลูกจ้างอีกสองคนก็หายไป ทำให้ตำรวจเริ่มมั่นใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดในตัวโจบอลแต่ไม่มีหลักฐานมามัดตัว จนกระทั่งมีชาวบ้านเห็นว่าเขากำลังตัดชิ้นเนื้อมนุษย์จากร่างกายผู้ชายขนาดใหญ่ ทำให้ตำรวจรีบเข้ามาแสดงตัวขอสอบสวน นายโจบอลกตกลงและบอกให้ตำรวจนั่งรอ ก่อนที่ตัวเองจะหยิบปืนมาเหนียวไกปืนใส่ตัวเองจนเสียชีวิต
ท้ายที่สุด ‘คริสตัน วิลเลอร์’ ลูกจ้างคนแรกของเขาให้การรับสารภาพว่าโจบอลเป็นฆาตกรที่ลงมือทำเรื่องทั้งหมดนี้
ฆ่าหั่นศพ : The Metal Fang – นิโคไล จูมากาลิเยฟ
‘นิโคไล จูมากาลิเยฟ’ (Nikolai Dzhumagaliev) ฆาตกรต่อเนื่องชาวโซเวียต เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ปี 1952 ที่เมืองอุซนากีซ ประเทศคาซัคสถาน ในช่วงเดือนมกราคมปี 1979 เขาได้วางแผนการฆาตกรรมครั้งแรก โดยเขาฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินทางไปตามเส้นทางชนบทนอกเมืองอุซินากาช และอีกไม่กี่วันต่อมาก็มีผู้ค้นพบศพของผู้หญิงคนนั้น มีการสืบสวนในคดีนี้แต่ผลคือหลักฐานที่ได้ไม่สามารถนำไปสู่การจับกุมฆาตกรได้
แต่ในวันที่ 21 สิงหาคมปีเดียวกัน เขาได้ก่อคดีหนึ่งขึ้นและเป็นเหตุให้เขาถูกจับกุมในข้อหาฆ่าหั่นศพ เขาเชิญเพื่อนที่ทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงด้วยกันและแฟนสาวของพวกเขามาที่บ้านเพื่อสังสรรค์ แต่เขาก็ได้ลงมือฆ่าเหยื่อรายหนึ่งในกลุ่มและเริ่มชำแหละศพในห้องถัดไปจากห้องนั่งเล่น พอเพื่อนคนอื่น ๆ มาตามหาว่าเพื่อนคนนั้นหายไปไหน ก็ได้พบว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงหนีออกจากบ้านด้วยความตกใจและทำการโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังจากที่ตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุก็ได้พบว่านิโคไลหายตัวไปแล้ว แต่กลับพบเรื่องสุดสยองแทนที่ด้วยสภาพศพเป็นไปด้วยเลือดของตัวเอง แถมตามร่างกายก็ถูกเฉือนส่วนเนื้อออกไป แถมยังมีเศษเนื้อที่คล้ายกับถูกฉีกกินทิ้งเหลือเอาไว้ นิโคไลได้หนีขึ้นไปบนภูเขารกร้างแบบตัวเปล่าเหล้าเปลือย โดยพกขวานติดไปด้วย ต่อมาเขาถูกสะกดรอยตามและถูกควบคุมตัวในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 ธันวาคม 1980 ไม่เพียงเท่านั้น ญาติของเขาก็ถูกจับกุมด้วย
จากการสอบปากคำ ก็ได้รู้ว่านิโคไลได้สังหารและกินเนื้อคนอย่างน้อย 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่เหยื่อจะเป็นผู้หญิงทั้งหมดแต่เชื่อกันว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่านั้นจนกระทั่งเขาถูกจับกุม เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเพททำให้ถูกจำคุกในโรงพยาบาลจิตเวช ก่อนจะหลบหนีและถูกจับติดคุกตลอดชีวิตใน 2 ปีต่อมา
** เพลง “Metal Fang” ของวง Blood Tsunami เป็นเพลงเกี่ยวกับตัวเขา
Eyptian Man-Eater – โอไมมา เนลสัน
‘โอไมมา เนลสัน’ (Omaima Nelson) ฆาตกรที่น่ากลัวและโหดร้ายอย่างมาก โดยเธอเกิดเมื่อปี 1968 เกิดที่ประเทศ ตอนที่เธออายุ 22 ปี เธอได้ย้ายถิ่นและอพยพข้ามประเทศมาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1986 ผ่านไปเพียง 1 ปี เธอได้พบรักกับผู้ชายคนหนึ่งที่สระว่ายน้ำแถวเฮชตันบีช ผู้ชายมีชื่อว่า ‘วิลเลียม นิลสัน’ หรือ ‘บิลล์’ อายุ 56 ปี มีอาชีพเป็นคนขับเครื่องบิน จากการพูดคุยกันแล้วพบว่าถูกอกถูกใจอย่างมาก ทำให้บิลชวนเธอไปอยู่ด้วยกันที่รัฐแอริโซนา และได้ขอเธอแต่งงาน
แต่แล้ววันหนึ่ง โอไมมาได้เดินทางมาหา ‘โจเซ่ เอสคินวอลล์’ (อดีตคู่เดตของเธอ) ถึงหน้าบ้าน ด้วยสภาพเปื้อนเลือด บนมือมีบาดแผล และใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เธอเล่าว่าได้พลั้งมือฆ่าหั่นศพสามีเพื่อป้องกันตัวและอำพรางศพ และขอให้โจเซ่ช่วยจำกัดศพ แลกกับเงินและรถมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์ ทำให้โจเซ่ตอบตกลงและบอกให้โอไมมากลับไปที่บ้านก่อน หลังจากนั้นโจเซ่ได้รีบโทรแจ้งตำรวจและเล่าเรื่องราวให้ฟัง เจ้าหน้าที่ตำรวจเลยออกตามหาเธอก่อนจะไปเจอเธอเรือลำหนึ่งของบิลล์ โดนข้างเธอมีถุงขยะใบใหญ่ เลยขอดู ข้างในเป็นอวัยวะมนุษย์เต็มถุง
ถึงแม้ว่าเธอจะให้การว่าในถุงเป็นศพของคนที่บิลล์ฆ่าแล้วหนีไป ปล่อยให้เธอจำกัดศพ ทำให้ตำรวจต้องเข้าค้นอพาร์ทเมนต์ของบิลล์และพบหลักฐานมากมายหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังของมนุษย์ที่ถูกแขวนเอาไว้ในห้องน้ำ ในครัวมีข้อมือถูกสับ และเจอชิ้นส่วนสะโพกมนุษย์ถูกสับผสมกับเนื้อไก่งวง พอเปิดตู้เย็นในช่องแช่แข็ง ก็เต็มไปด้วยผัก แต่ด้านหลังของผักเจอกับอะไรบางอย่างลักษณะกลม ๆ และแล้วก็ได้เจอหัวของบิลล์ที่ห่อฟลอยด์และแช่แข็งเอาไว้
เธอถูกจับกุมและให้คำสารภาพในชั้นศาลว่าเธอได้ฆ่าหั่นศพสามีของเธอเอง “ฉันได้ปรุงซี่โครงของบิลในซอสบาร์บีคิวและกินมันเข้าไป ก่อนที่จะร้องอุทานออกมาว่า มันหวานมาก มันไม่มีอะไรหวานอร่อยไปกว่าเนื้อสามีของฉันอีกแล้ว”
ในเดือนธันวาคมปี 1992 เธอได้รับการพิจารณาคดีในข้อหาฆาตกรรมสามี ด้วยเจตนา “ปล้นทรัพย์” โดยหลอกล่อด้วยกิจกรรมทางเพศ ซึ่งเธอเองยังให้การปฏิเสธตลอดมา และยังคงยืนยันว่าถูกสามี ล่วงละเมิดทางเพศ และทำร้ายมาตลอด ซึ่งทุกอย่างเธอทำไปเพราะ “ป้องกันตัว”
ขอโทษที่รัก ฉันสับเธอไปแล้ว – แซคเกอรี่ โบเว่น
มาต่อกันที่คดีสุดท้ายสุดนองเลือดกับเหตุการณ์ที่เกิดในวันที่ 17 ตุลาคม ปี 2006 ตำรวจนิวออร์ลีนส์ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากโรงแรม ว่ามีแขกท่านหนึ่งกระโดดตึกลงมา และเสียชีวิตอยู่บริเวณลานจอดรถ เจ้าหน้าที่พยายามค้นตัวศพเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม แต่สิ่งที่พบทำให้พวกเขาเกิดคำถามที่ว่า ทำไมถึงมีกระดาษที่เขียนข้อความไว้ว่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อชดใช้สิ่งที่ผมได้รับมา ถ้าคุณส่งเจ้าหน้าที่ไปยังบ้านเลขที่ที่ผมระบุไว้ คุณจะพบกับศพของ แอดดี้ (Addie) แฟนสาวของผมที่ถูกแยกชิ้นส่วนไว้ตามจุดต่าง ๆ ของบ้าน”
ชายผู้กระโดดตึก คือ ‘แซคเกอรี่ โบเว่น’ (Zackery Bowen) อายุ 28 ปี เป็นทหารปลดประจำการ มีอาการป่วยโรค “PTSD” (Post-Traumatic Stress Disorder) ได้พบรักกับ ‘แอดดี้ ฮอลล์’ (Addie Hall) อายุมากกว่าเขาถึง 2 ปี และมีโรคประจำตัวคือ “ไบโพลาร์” พวกเขาทั้งสองคนเป็นคู่รักที่ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง ปาร์ตี้ สังสรรค์ เสพยา จนในปี 2005 “พายุเฮอร์ริเคน แคทรีนา” ถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ ผู้คนทยอยกันอพยพ ส่วนเขาสองคนกลับจะใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนั้นแบบ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา จนคนตั้งฉายาให้ทั้งคู่ว่า “ราชาและราชินีผู้รอดชีวิตจากเฮอร์ริเคน”
พอพายุสงบลง ผู้คนก็ทยอยกลับกันมาใช้ชีวิตตามเดิม แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งแชคและแอ๊ดดี้ไม่พร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตปกติ เพราะต้องทำงานและหาเงินจ่ายหนี้สะสม ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูลูก ส่วนกับแอ๊ดดี้ก็ความสัมพันธ์แบบรัก ๆ เลิก ๆ จมีอยู่ครั้งหนึ่งแอ๊ดดี้มาขอคืนดีและให้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน โดยจะขอให้แชคจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ก่อน 2 เดือนและให้ใส่เป็นชื่อเขาไว้ แต่พอเขาจ่ายเงิน กลายเป็นว่าเธอได้ใส่ชื่อตัวเองและไล่เขาออกจากอพาร์ตเมนต์
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2006 แซคได้บุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์อย่างภารการทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันจนเขาลงมือบีบคเธอ “จนตายคามือ” และก็ได้เริ่มทำลายศพ ทำให้เขาต้องหั่นศพและจับชิ้นส่วนของร่างกายที่หั่นใส่ในหม้อ จากนั้นก็นำไปต้มบนเตา บางส่วนก็นำไปแช่เย็นในตู้เย็น และบางส่วนก็เอาไปใส่ในเตาอบ แต่การฆ่าหั่นศพทำให้แซคเริ่มมีอาการวิตกกังวล รู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำ ในก่อนหน้าวันที่เขาจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย เขาใช้เงิน 1,500 เหรียญสุดท้ายในชีวิตเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกระโดดจากตึก 7 ชั้นของโรงแรม
และทั้งหมดนี้คือ 5 คดีฆ่าหั่นศพ ที่เรา ghostsfolder ได้นำมาแบ่งปันให้เพื่อนได้อ่านกัน เชื่อเรื่องว่า ส่วนใหญ่แล้วคดีฆ่าหั่นศพไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเจตนาแรก แต่ทำลงไปเพื่ออำพรางศพเพื่อไม่ให้สามารถตามตัวเจอ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ทำลงไปด้วยความสนุกและความผิดปกติของจิตใจ อย่างไรก็ตาม หากคุณชื่อนชอบเรื่องราวฆาตกรรมแนวนี้อีก สามารถติดตามคอนเทนต์ที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้ที่
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025