ลิทธิประหลาดในเม็กซิโก การสังเวยด้วยชีวิตมนุษย์สุดโหดเหี้ยม

หัวข้อน่าสนใจ

ลิทธิประหลาด มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องงมงายในประเทศโลกที่สาม แต่จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เราก็เห็นแล้วว่ามันมีอยู่แถบทุกประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศทางฝั่งตะวันตกที่ดูเหมือนจะศิวิไลซ์ แต่ภายใต้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กีฬา และการเติบโตในด้านอุตสาหกรรม กลับยังซ่อนเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อของคนท้องถิ่นเอาไว้เสมอ

บทความในวันนี้ จะพาชาว Ghostsfolder ไปยังอเมริกาใต้กับประเทศเม็กซิโก ดินแดนถิ่นคาวบอย ที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายความเชื่อโบราณ การทำพิธีกรรมแปลก ๆ ในชนบทก็ยังคงมีให้เห็น เรื่องที่เราจะมาเล่ากันวันนี้ เกี่ยวกับสองพี่น้องโซเลส ผู้ก่อตั้ง ลิทธิประหลาด ที่ควักหัวใจหมนุษย์ กินเลือด กินเนื้อกันแบบสด ๆ

สองชายปริศนาผู้เผยแพร่ลิทธิศาสนาผี

เรื่องแรกเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประเทศแม็กซิโก ย้อนกลับไปเมื่อ 64 ปีก่อน ยุคที่ชาวเม็กซิกันพื้นเมืองยังคงอาชีพเกษตรกรรม เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ณ หมู่บ้านไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่งที่ชื่อ “เยร์บาบูเอนา” ชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็กที่มีประชากรเพียง 50 คนเท่านั้น ภายในหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา และถนนหนทางที่ยังเข้าถึงลำบาก การจะเข้าถึงตัวหมู่บ้านได้นั้น มีเพียงทางลูกรังเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านป่าทางเดียวที่เชื่อมต่อยังถนนทางหลวง ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงชาวบ้านเท่านั้นที่รู้

เรื่องราว ลิทธิประหลาด ที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกนี้มีที่มาจากรากฐานความเชื่อดั้งเดิมของชาวพื้นเมือง ที่เชื่อกันในเรื่องศาสนาวิญญาณ ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรม การบูชาผี โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด ถือว่าเป็นแนวคิดหลักที่พวกเขาเชื่อต่อ ๆ กันมา  

ลิทธิประหลาดในเม็กซิโก
ลิทธิประหลาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆของเม็กซิโกเมื่อปี 64 ปีที่แล้ว

วันหนึ่ง มีชายวัยรุ่นฝาแฝดวัย 16 ปี 2 คนชื่อ “แมกดาเลนา” และ “อลิซาร์ โซเลส” อยู่ ๆ ก็เดินเท้าเข้ามาในหมู่บ้าน โดยอ้างว่าพวกตนนั้นเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาวิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า Spiritism พวกเขาสวมบทบาทเป็นผู้มีศรัทธา และอ้างว่าเป็นนักบวชลึกลับกลับชาติมาเกิด พวกเขาออกเดินทางไปตามหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของเม็กซิโกเพื่ออ้างถึงความเชื่อดังกล่าว แลกกับการขออาหารและที่พักฟรี ก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับ

เยร์บาบูเอนา หมู่บ้านกำเนิดลิทธิประหลาดในเม็กซิโก
เยร์บาบูเอนา หมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขาในเม็กซิโก

ความร่วมมือกับ 2 พี่น้องเอร์นันเดช ก่อกำเนิดลิทธิประหลาด

สองพี่น้องฝาแฝดวางแผนเพื่อจะอยู่นานขึ้น พวกเขาพยายามป้อนข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนและความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าแก่ชาวบ้านวันละเล็กวันน้อย แต่นานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าเสียงของชาวบ้านแตกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งที่เชื่อสนิทใจว่า 2 พี่น้องฝาแฝดคือตัวแทนทีสามารถสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติได้จริง กับอีกฝั่งที่เริ่มไม่เชื่อ และต้องการพิสูจน์ความจริง

เมื่อเป็นเช่นนั้น สองพี่น้องจึงจัดพิธีโบราณเพื่อพิสูจน์ตัวตน พิธีกรรมโบราณที่ว่าเกี่ยวข้องกับการชงน้ำยาวิเศษ  พวกเขาอ้างว่า พลังเหนือธรรมชาติจะมอบนิมิตแก่ผู้ดื่มน้ำยาวิเศษนี้ แต่ความจริงแล้ว พวกเขาผสมกัญชาลงไปในน้ำยา ทำให้ชาวบ้านที่ดื่มเกิดอาการมึนเมา ยิ่งทำให้คำโกหกของเขาได้ผลดี แต่เมื่อวิธีเก่าเริ่มไม่ได้ผล พวกเขาจึงสร้างความเข้มข้นในพิธีกรรมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น การเพิ่มเลือดสัตว์ลงในน้ำยา การแต่งกายด้วยชุดทำพิธีกรรมเต็มรูปแบบ โดยการทาตัวด้วยสีและขนนก ซึ่งเป็นการแต่งกายเลียนแบบนักบวชชาวแอซเท็คโบราณ

การแต่งกายของชาวแอชเท็ค
การแต่งกายของชาวลัทธิเลียนแบบนักบวชชาวแอชเท็คโบราณ

เมื่อเสียงของชาวบ้านเริ่มแตกเป็น 2 ฝั่ง ทำให้สองพี่น้องจึงต้องมองหาผู้ที่เชื่อและภักดีต่อพวกเขาในการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณแก่ชาวบ้าน คนที่พวกเขาเลือกคือ 2 พี่น้องตระกูลเอร์นันเดช ชาวบ้านในพื้นที่เยร์บาบูเอนา ผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม พวกเขามักใช้อำนาจข่มขู่เชิงบังคับกลุ่มคนที่ไม่เชื่อ

การร่วมมือกันของสองพี่น้องทั้ง 2 คู่ นำมาซึ่งหายนะอย่างใหญ่หลวง พวกเขาร่วมมือกันก่อตั้ง ลิทธิประหลาด บนภูเขาเหนือหมู่บ้าน มีการก่อสร้างวิหารบนภูเขา ชาวบ้านจะต้องเดินเท้าผ่านป่าลึกเข้าไปเพื่อประกอบพิธีกรรม แต่ท้ายสุดความขัดแย้งก็เกิดขึ้น ทางฝั่งพี่น้องฝาแฝดต้องการคงกลโกงไว้ให้ได้นานที่สุด ในขณะที่ฝั่งสองพี่น้องเอร์นันเดช ต้องการขยายลิทธิให้ใหญ่ มีผู้ติดตามมากขึ้น นำมาสู่การประกอบพิธีที่ใหญ่ขึ้น และความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์เริ่มก่อตัวอย่างช้า ๆ  

คำหลอกลวงที่ว่าจิตวิญญาณจะไปอยู่กับพระเจ้า แลกกับการสังเวยด้วยชีวิตอย่างโหดเหี้ยม

ชาวบ้านยังคงเดินทางขึ้นไปบนวิหารบนภูเขาเพื่อทำพิธีเดือนละ 1 ครั้ง พวกเขาถูกปลูกฝั่งด้วยคำหลอกลวงที่ว่า จิตวิญญาณจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าอย่างสงบในอีกโลกหนึ่ง แต่ต้องแลกด้วยชีวิต ในแต่ละเดือน จะต้องมีผู้ถูกสังเวยให้แก่ ลิทธิประหลาด อย่างน้อย 1 ชีวิต ผู้ที่ถูกจับขึ้นไปบนแท่นทำพิธี จะถูกกรีดและควักหัวใจออกมา ส่วนเลือดของผู้ตาย ก็จะถูกเอาไปใส่ในน้ำยาให้ชาวบ้านดื่มแทนเลือดสัตว์

การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่บุกจับลัทธิประหลาด
พบ 6 ศพในถ้ำบนภูเขาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมกินเลือดมนุษย์

อำนาจของฝาแฝดเริ่มมีเหนือกว่าชาวบ้าน จนกลายเป็นว่าชาวบ้านเริ่มมีส่วนร่วมกับการฆาตรกรรมและการกินเนื้อคนอย่างโหดเหี้ยม การขึ้นไปทำพิธีแต่ละครั้ง ชาวบ้านที่กลับลงมาจะลดน้อยถอยลงไปทีละคนสองคน จนท้ายสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 1963 ชาวบ้านเดินทางขึ้นไปบนภูเขาตามปกติ เหยื่อคนสุดท้ายของ ลิทธิประหลาด คือ “เซเลนา ซิลวานา” เธออาสาตัวเองเป็นเครื่องสังเวย เพียงเพื่อความประสงค์ที่จะได้ไปอยู่ในอ้อมกอดพระเจ้า แต่กลับถูกคัดค้านจากแฟนหนุ่ม จนเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนท้ายสุดเธอก็ถูกลากขึ้นบนแท่นทำพิธี และถูกควักหัวใจออกมา

เฮคเตอร์ โซเลส แฟนหนุ่มของเธอแค้นผู้กระทำและผู้มีส่วนร่วมกับลิทธิบ้า ๆ นี้ เขาตัดสินใจไปแจ้งความกับตำรวจ โดยมีนายตำรวจ อาบาโล จี โกเมซ เป็นผู้รับแจ้งความ เขาให้รายชื่อของผู้ที่เกี่ยวข้องกับลิทธิ ไม่กี่วันต่อมา โกเมซก็สั่งคนไปบุกจับ และวิสามัญผู้ที่เกี่ยวข้องในลิทธิที่ใช้ปืนยิงต่อสู้กับตำรวจ เรื่องนี้กลายเป็นข่าวโด่งดังในเม็กซิโกยุคนั้น

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแมกดาเลนาเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ กัญชา และปาร์ตี้

อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในเม็กซิโก มีข่าวการจับกุมกลุ่ม ลิทธิประหลาด กลุ่มนี้เกิดขึ้นจริง แต่บทความในหลายเว็บไซต์บิดเบือนข้อเท็จจริงอยู่เยอะ โดยเฉพาะประเด็นของ แมกดาเลนา โซลิส ที่ถูกอ้างว่าเป็นโสเภณี มีความเกี่ยวพันธ์กับลิทธินี้ โดยอ้างถึงเรื่องเพศ การมีเซ็กซ์ การสูบกัญชา ปาร์ตี้ และการได้รับบรรณาการจากผู้ศรัทธา ซึ่งยุคนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ

แมกดาเลนา โซเลส
แมกดาเลนา โซเลส หญิงสาวตระกูลโซเลสที่อ้างตนว่าเป็นเทพีชาวอินคา

ปรัชญาทางจิตวิญญาณของพวกเขา เกิดจากการผสมผสานวัฒนธรรมของชนเผ่าอินคาและชาวแอชเท็คได้อย่างน่าประหลาดนัก เขาให้คำหลอกลวงแก่ชาวบ้านว่า สมบัติล้ำค่าของอินคาถูกซ่อนไว้ในถ้ำเยอร์บูเอนา เขาจะมอบสมบัติอันล้ำค่าให้ แลกกับการที่ชาวบ้านต้องนำอาหารมาให้ และการปฏิบัติต่อพวกเขาดุจพระราชา

ผู้คนต่างถูกหลอกลวงด้วยสารพัดคำโกหกเกี่ยวกับการทำพิธีกรรม เรื่องเซ็กส์ งานเลี้ยงสำส่อน และงานฉลองอันน่าประทับใจ จะทำให้พวกเขาเจอสมบัติของชาวอินคา แม้ว่าในภายหลังจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่า สมบัติล้ำค่าไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียงคำหลอกลวง แต่กลับเต็มใจให้หลอก เพราะมองว่าเซ็กส์และการสูบกัญชา คือรางวัลแห่งความสุขที่จับต้องได้จริง