คดี ผัวฆ่าเมีย ในตอนนี้คงไม่มีอะไรดังเป็นกระแสเท่า #น้องนุ่น #ไอ้ทอย คดีฆาตกรรมที่เกดิดจากการพลั้งมือ ก่อนจะอำพรางศพเพื่อปกปิดหลักฐาน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นคดีที่ร้ายแรงอีกหนึ่งคดีในประเทศไทยที่สังคมต่างรุมประนาม เพราะเหตุผลและแรงจูงใจที่ทำให้สามีลงมือฆ่าอยากโหดเหี้ยมนั่นก็คือ ฉุนที่ภรรยาตัวเองชอบเมาแล้วพูดถึงแฟนเก่า อย่างไรก็ตาม วันนี้เราเลยนำ 13 คดีฆาตกรรมโหด ผัวลงมือฆ่าเมีย อย่างทารุณ มาฝากเพื่อน ๆ ชาวโกสต์โฟลเดอร์ ไปดูคดีแรกกันเลยค่ะ
Lady in the Box
คดีฆาตกรรม สาวในกล่อง
คดี ผัวฆ่าเมีย คดีแรก เป็นคดีฆาตกรรมสุดฉาวจากรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา จอห์น เดวิด สมิธ (John David Smith) ชาวอเมริกันที่ได้ลงมือสังหารภรรยาตัวเอง อย่าง เจนิซ ฮาร์ทแมน (Janice Hartman) ในปี 1974 และยังถูกตั้งข้อหาในคดีฆาตกรรมภรรยาคนที่สองของเขาในปี 1991
จอห์น เป็นชาวอเมริกันที่เกิดในปี 1950 พบรักกับเจนิซและตกลงที่จะแต่งงาน สร้างครอบครัว เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1970 แต่การแต่งงานของพวกเขานั้นมีปัญหากันอยู่ตลอดเวลา พี่ชายของเจนิซบอกว่า จอห์นมักใช้ความรุนแรงและทำร้ายร่างกายเธอเสมอ นั่นทำให้ปี 1974 เธอตัดสินใจย้ายออกมาจากบ้าน เพื่อกลับมายังที่บ้านเกิดของเธอที่รัฐโอไฮโอ โดยตั้งใจจที่ะหย่ากับเขา ถึงแม่ว่าศาลจะมีคำสั่งหย่าในวันที่ 14 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอก็บอกครอบครัวของเธอว่า เธอกำลังจะออกไปข้างนอกสักแปปนึง ก่อนที่เธอจะหายตัวไป และถูกพบเห็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1974
ซึ่งเรื่องราวของพวกเขาได้ทำออกมาเป็นภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Lady in the Box (2001)
คดี ผัวฆ่าเมีย : The Staircase Murders
คดีฆาตกรรมผลักภรรยาตกบันได
ไมเคิล ปีเตอร์สัน (Michael Iver Peterson) นักประพันธ์นิยายชาวอเมริกันที่ถูกตัดสินลงโทษในปี 2003 ในข้อหาฆาตกรรม แคธลีน ปีเตอร์สัน (Kathleen Peterson) ภรรยาคนที่สองของเขา เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2001
ไมเคิล เกิดในปี 1943 ใกล้เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เป็นลูกของ ยูจีน ปีเตอร์สัน (Eugene Iver Peterson) และ เอเลนอร์ ปีเตอ์สัน (Eleanor Peterson) เขาได้พบรักกับ แคธลีน แอดวาเตอร์ (Kathleen Atwater) และแต่งงานกันในปี 1997 ก่อนที่ในวันที่ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2001 ไมเคิลได้โทรเรียก 911 เพื่อแจ้งความกับตำรวจว่าเขาเพิ่งพบภรรยาของเขานอนหมดสติในบ้าน และอ้างว่าเธออาจจะตกบันได โดยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า “15 หรือ 20 ขั้น ผมไม่มั่นใจ” ต่อมาเขาอ้างว่า เธอคงตกบันไดไปแล้วหลังจากดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับ แวเลียม (Valium) ยาในกลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน มีฤทธิส่งผลให้สงบจิตใจ
หลังจากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ไมเคิล เป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมโดยเจตนา โดยมีความลับที่ปกปิดมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ เขาเป็นไบเซ็กชวล ซึ่งคดี ผัวฆ่าเมีย คดีนี้ก็ได้ทำเป็นภาพยนตร์ที่ชื่อว่า The Staircase (2007) ซึ่งเป็นมินิซีรีส์สัญชาติฝรั่งเศส และออกอากาศทาง Netflix
คดี ผัวฆ่าเมีย : The Murder of Bridget Cleary
คดีฆาตกรรม บริตเจ็ท เคลียร์รี่
บริดเจ็ต เคลียร์รี (Bridget Cleary) เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1869 หญิงสาวชาวไอริชที่ถูก ไมเคิล เคลียร์รี (Michael Cleary) สามีของเธอสังหารในปี 1895 โดยการจุดไฟเผาร่างของเธอ ซึ่งแรงจูงใจที่ระบุไว้ของสามี คือ เขาเชื่อว่าเธอถูกนางฟ้า ลักพาตัวไป และถูกแทนที่ด้วยตัวเปลี่ยน ซึ่งเขาได้ลงมือฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว
และเรื่องราวของพวกเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานทางด้านดนตรี นวนิยาย ละครเวที และภาพยนตร์อย่าง Fairy Wife: The Burning of Bridget Cleary (2006)
The Murder of Lori Hacking: Killed by Her Husband’s Lies
คดีฆาตกรรมจากสามีผู้โกหก
คดี ผัวฆ่าเมีย คีดต่อไปเป็นเรื่องราวของ ลอรี แฮ็คกิ้ง (Lori Hacking) หญิงสาวที่อาศัยอยู่ที่ ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ซึ่งถูก มาร์ก ดักลาส แฮ็คกิ้ง (Mark Douglas Hacking) สามีของเธอ ฆาตกรรมในปี 2004 โดยมีรายงานว่า สามีของเธอได้หายตัวไป ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถจับกุมตัว พร้อมได้รับคำสารภาพจากมาร์คว่า เป็นคนก่อเหตุอาชญากรรม
ในเวลา 10.49 น. ของวันที่ 19 กรกฎาคม 2004 มาร์ค ได้โทรแจ้ง 911เพื่อแจ้งว่า ลอรี ภรรยาของเขาหายตัวไป มาร์กบอกกับตำรวจว่าเธอออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อวิ่งจ๊อกกิ้ง ออกกำลังกายตามปกติแถวเมมโมรีโกรฟ (Memory Grove) และ ซิตีครีกแคนยอน (City Creek Canyon) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองซอลท์เลคซิตี้ แต่เธอไม่ได้กลับบ้านหรือไปที่ทำงานเลย แต่ในวันที่ 2 สิงหาคม ปีเดียวกัน มาร์กถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมลอรี โดยทางตำรวจบอกว่าพวกเขาเชื่อว่า มาร์คได้กระทำการสังหารลอรีในอพาร์ตเมนต์ของพวกเขาด้วยปืนไรเฟิลลำกล้อง .22 ขณะที่เธอหลับและนำร่างของเธอทิ้งในถังขยะ
และในวันที่ 1 ตุลาคม 2004 มีผู้พบศพมนุษย์ในหลุมในรัฐซอลท์เลคเคาน์ตี้ ซึ่งในบ่ายวันนั้น ทางตำรวจยืนยันว่าศพเป็นของลอรี อีกทั้งยังพบกับพรม ที่ภายหลังมาร์กได้ยอมรับว่านำเธอห่อกับพรมก่อนจะนำไปทิ้งในถังขยะ และเหตุจูงใจคือ มาร์กไม่พอใจลอรีเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาได้อ่านจดหมายฉบับหนึ่งจากภรรยาของเขา ที่เขียนว่าเธอวางแผนจะทิ้งเขาไป หลังจากรู้ความจริงว่าแทบทุกสิ่งที่มาร์กบอกเธอเกี่ยวกับชีวิตของเขานั้นไม่ใช่ความจริง เธอรู้ว่าเขาไม่เคยสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ และไม่เคยสมัครเข้าโรงเรียนแพทย์เลย แต่แทนที่จะเกิดการหย่าร้างกัน กลับกลายเป็นว่ามาร์คเลือกที่จะฆ่าเธอ
คดี ผัวฆ่าเมีย : Murder of Julie Jensen
คดีฆาตกรรม จูลี่ เจนเซ่น
ในวันที่ 3 ธันวาคม 1998 มาร์ก เจนเซ่น (Mark Jensen) ชายชาวอเมริกันได้สังหาร จูลี่ เจนเซ่น (Julie Carol Jensen) ภรรยาของเขา ในเมืองเพลเซนท์แพรรี รัฐวิสคอนซินโดย ด้วยการวางยาพิษเธอด้วย Ethylene glycol สารป้องกันการแข็งตัว ซึ่งคดีนี้มีความน่าสนใจตรงที่ หลักฐานในจดหมายที่ผู้ตายได้เขียนเอาไว้ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต โดยพูดถึงความสงสัยในเจตนาทั้งหมดของสามีของเธอ
จูลี ได้ทำการถามคำถามกับสามีของเธอ ตรวจสอบผู้กระทำการวางแผน มีการถ่ายรูปเพื่อบันทึก และจดสิ่งที่เธอสงสัยลงในจดหมาย ก่อนจะมอบให้เพื่อนกับบ้านพร้อมคำแนะนำให้ส่งให้ตำรวจ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เธอเขียนว่า “ฉันภาวนาว่า ฉันคิดผิดและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉันสงสัยในพฤติกรรมของมาร์คและกลัวการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร”
ในปี 2008 มาร์ก ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรมโดยไม่เจตนา และถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีโอกาสที่จะได้รับทัณฑ์บน และถึงแม้ว่าเขาจะยื่นอุธรณ์ต่อศาลหลายครั้งเป็นเวลาเกือบ 10 ปี แต่คำตัดสินก็ยังคงเหมือนเดิม
Murder of Carol Stuart
คดีฆาตกรรม แครอล สจ๊วต
คดี ผัวฆ่าเมีย คดีสุดท้ายของพาร์ทแรก เป็นเรื่องราวของ แครอล แอน สจ๊วต (Carol Ann Stuart) เกิดในวันที่ 26 มีนาคม 1959 เธอถูกฆาตกรรมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 1989 โดย ชาร์ลส์ ไมเคิล “ชัค” สจ๊วต จูเนียร์ (Charles Michael “Chuck” Stuart Jr.) สามีของเธอ โดยทั้งสองคนเป็นคนผิวขาว และชาร์ลส์ก็ได้อ้างว่า มีชายผิวดำคนหนึ่ง จี้รถของพวกเขาในบอสตัน และยิงทั้งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์และตัวเขาเอง
จากคำให้การของเขา ทำให้เจ้าหน้าที่ของกรมตำรวจบอสตัน ออกตามล่าหาตัวคนก่อเหตุเป็นเวลานานหลายเดือนเพื่อจับกุมผู้ร้ายผิวสี สิ่งนี้กินเวลานานจนกระทั่ง แมทธิวน้องชายของชาร์ลส์สารภาพว่าแครอลถูกชาร์ลส์ฆ่าเพื่อเรียกเก็บเงินค่าประกันชีวิตของเธอ และหลังจากนั้นไม่นาน ชาร์ลส์ก็ได้ฆ่าตัวตาย
เรื่องราวของคดีนี้ก็ได้ถูกนำไปทำเป็นซีรีส์ทาง HBO ที่ชื่อว่า Murder in Boston: Roots, Rampage, and Reckoning (2023)
และนี่คือ 6 คดีฆาตกรรม ผัวฆ่าเมีย ในพาร์ทแรก บอกได้เลยว่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่เห็นได้ชัดเลยว่า มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้เป็นสามีสามารถลงมือสังหารภรรยาตัวเองได้อย่างไร้เยื้อใย และด้วยเหตุผลนี้ทำให้รู้สึกว่า อย่างในคดีของฆ่าอำพรางศพน้องนุ่น ถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างมาก เนื่องจากหลังจากที่ผู้เป็นสามีได้ลงมือฆ่าภรรยาของตัวเองไปแล้ว ยังกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังทำตัวปกติอยู่กับคนรอบข้าง ทำให้สังคมไม่พอใจและอยากให้คำตัดสินนี้ถึงที่สุดให้ได้ สามารถติดตามตามพาร์ทที่สองได้ที่ รวม 13 คดีฆาตกรรมโหด ผัวฆ่าเมีย หึงโหด มือที่สาม จนต้องลงมือกับคนที่รัก (Part 2)
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025