ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดและลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ตั้งแต่การหายตัวไปอย่างไร้คำอธิบาย ไปจนถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ยากจะหาคำตอบ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้สร้างความกังวลและตรึงใจผู้คนมานานหลายศตวรรษ เราเลยจะพาไปเจาะลึกเรื่องราวเหล่านั้นกับ 5 เหตุการณ์แปลกประหลาด ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก จะมีเรื่องไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย
The Lost Colony of Roanoke
เหตุการณ์แปลกประหลาด แรกของเราจะไปกันที่ความลึกลับของเกาะโรอาโนคที่ทำให้นักประวัติศาสตร์งงงวยมานานหลายศตวรรษกับ อาณานิคมที่หายไปของโรอาโนค (The Lost Colony of Roanoke) เกาะแถบอเมริกาซึ่งถือเป็นอาณานิคมแห่งแรกของประเทศอังกฤษ มีทั้งประชาชนผู้หญิงผู้ชายเด็กและคนทั่วไป รวมไปถึงข้าราชการชั้นสูงอย่าง วอลเตอร์ ราลี (Walter Raleigh) ผู้ที่ก่อตั้งอาณานิคมนี้ขึ้นในปี 1587 แต่เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันในท้องถิ่นและปัญหาด้านปากท้องและการอยู่อาศัย ทำให้ผู้ที่เป็นผู้นำอันนี้คมนี้ในขณะนั้นถูกบังคับให้กลับไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อขอความช่วยเหลือและเมื่อกลับมาในปี 1950 หลังจากที่เขาจากโรอาโนคไป 3 ปี เขากลับพบว่าอาณานิคมโรอาโนคได้ถูกทิ้งร้างไปแล้ว ผู้คนทั้งเกาะได้หายไปหมดโดยที่ไม่มีสัญญาณหรือร่องรอยการต่อสู้หรือการใช้ความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย เบาะแสเดียวที่ปรากฏขึ้นคือคำว่า Croatone (โครอาโทน) ที่สลักอยู่บนต้นไม้บนเกาะซึ่งบ่งบอกว่าอาณานิคมนี้อาจจะอพยพไปยังเกาะที่อยู่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตามไม่มีการพบหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้และชะตากรรมของชาวอาณานิคมก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป มีเพียงทฤษฎีหนึ่งที่น่าจะอธิบายการหายตัวไปของชาวอาณานิคมโรอาโนคได้มากที่สุดนั่นก็คือ ชาวนานิคมอาจจะถูกดูดเข้าไปสู่ประชากรชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองในท้องถิ่นและหลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมของพวกเขาเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้จะมีการค้นหาความจริงมากมายในหลายทฤษฎีในช่วงที่ผ่านมาแต่ก็ยังไม่สามารถพบคำตอบที่ชัดเจนและความลึกลับของเกาะโรอาโนคก็ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไม่ได้รับการไข
เหตุการณ์แปลกประหลาด : The Dancing Plague of 1518
ต่อมาขอพูดถึง เหตุการณ์แปลกประหลาด และน่าขนลุกกับ โรคระบาดที่เต้นกันจนตายในปี 1518 (The Dancing Plague) ในเมืองสตราบูร์ก (Strasbourg) ซึ่งปัจจุบันก็คือประเทศฝรั่งเศส โดยในช่วงฤดูร้อนปี 1518 ที่อยู่ผู้คนหลายร้อยคนก็เริ่มที่จะเต้นรำตามท้องถนนอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งการเต้นนั้นพวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ บางคนถึงขั้นทรุดลงและหมดแรงตายเลยก็มี แต่การเต้นรำยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายวันโดยที่มีผู้เต้นรำมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาหยุดเต้นลงไปทำให้สาเหตุของ The Dancing Plague ยังคงเป็นปริศนา
แต่แน่นอนว่ามีผู้คนหลายคนตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งนี้มากพอสมควร โดยหนึ่งในนั้นได้มีการสันนิษฐานว่าเต้นรำอาจจะเกิดจากโรคฮิสทีเรียหมู่ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่บุคคลมีความเชื่อหรือความกลัวร่วมกันจึงแสดงออกมาทางร่างกายหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าการอุปทานหมู่ อีกทฤษฎีที่มีการพูดถึงก็คือนักเต้นได้ถูกวางยาพิษโดยออเกอร์ (ergot) ซึ่งเป็นเชื้อราที่เติบโตบนเมล็ดพืชและอาจทำให้เกิดภาพหลอนและอาการอื่นๆ ตามมาได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามโรคระบาดเต้นรำที่เกิดขึ้นในปี 1518 ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดและลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
เหตุการณ์แปลกประหลาด ของ The Tunguska Event
เดอะ ทังกัสก้า อีเวนท์ (The Tunguska Event) คือการระเบิดอย่างลึกลับที่เกิดขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน 1908 ซึ่งทำให้ต้นไม้ประมาณ 80 ล้านต้น ราบเรียบเป็นหน้ากลองในพื้นที่ประมาณ 2000 ตารางกิโลเมตร หรือเป็นการระเบิดครั้งรุนแรงมากจนทำให้เกิดคลื่นกระแทกแผ่นดินไหวที่สามารถตรวจพบได้ไกลถึงยุโรป และมีหลายคนที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้นซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้เห็นลูกไฟขนาดใหญ่บนท้องฟ้าตามด้วยคลื่นกระแทกที่ทำให้ผู้คนกระเด็นออกจากจุดที่ยืน
เสียงการระเบิดหรือ เหตุการณ์แปลกประหลาด ในครั้งนั้นเป็นการปล่อยพลังงานจำนวนมหาศาลซึ่งประมาณว่าเทียบเท่ากับ 10 ถึง 15 เมกกะตันของทีเอ็มทีซึ่งปริมาณขนาดนี้สามารถระเบิดร้างเมืองได้เลย แต่การระเบิดนี้ไม่ใช่การระเบิดจากนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกเรา แต่เนื่องจากมันได้ห่างไกลจากผู้คนมากจึงทำให้ไม่มีการบันทึกถึงอาการบาดเจ็บหรือการล้มตายของผู้คน แต่พวกสัตว์และพืชพรรณตายเรียบ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ทังกัสก้ายังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันทางวิทยาศาสตร์ โดยมีทฤษฎีหนึ่งที่แพร่หลายกันมากที่สุดได้นำเสนอว่าการระเบิดนั้นเป็นผลมาจากการเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางขนาดเล็กที่สลายตัวแล้วระเบิดก่อนที่จะถึงพื้นโลก สมมติฐานนี้ได้รับการสนับสนุนจากการที่มันไม่มีหลุมอุกกาบาตในบริเวณนั้น แต่การระเบิดครั้งนี้ก็ยังไม่สามารถไข้ได้และยังคงเป็นปริศนาที่น่าสนใจในแวดวงวิทยาศาสตร์ถึงแม้จะมีทฤษฎีอย่างการระเบิดของดาวเคราะห์น้อยที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดก็ตาม
เหตุการณ์แปลกประหลาด : The Wow! Signal
The Wow! Signal เป็นเหตุการณ์ที่ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมปี 1977 โดยกล้องโทรทรรศน์วิทยุบิ๊กเอ็มที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต (Ohio State University) มันถูกค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ที่ชื่อว่า เจอร์รี่ อาร์ อามาน ((Jerry R. Ehman) ซึ่งกำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากเครื่องรับวิทยุของกล้องโทรทรรศน์อยู่ เดอะ ว้าว ซิกเนล เป็นสัญญาณวิทยุแถบแคบที่กินเวลานานประมาณ 72 วินาที มีความถี่อยู่ที่ 1,420.4556 เมกกะเฮิร์ต ซึ่งอยู่ในช่วงความถี่วิทยุที่ปล่อยออกมาตามธรรมชาติ โดยไฮโดรเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดในจักรวาลสัญญาณดังกล่าวมีความเข้มข้นสูงมากและชัดเจนซึ่งมันน่าดึงดูดความสนใจของเอ็มมานได้ทันที
ต้นกำเนิดของ เดอะ ว้าว ซิกเนล นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ลักษณะของมันผิดปกติเพราะเป็นสัญญาณที่แรงและเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวซึ่งดูเหมือนว่าจะมาจากทิศทางของกลุ่มดาวราศีธนู อย่างไรก็ตามความพยายามในการตรวจหาสัญญาณอีกครั้งในภายหลังรวมถึงการค้นหาอย่างละเอียดในพื้นที่เดียวกันบนท้องฟ้าก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันเลยทำให้ เดอะ ว้าว ซิกเนล เป็นอะไรที่แปลกประหลาดในด้านดาราศาสตร์วิทยุเป็นอย่างมาก
The Miracle of the Sun
มาถึงเหตุการณ์สุดท้ายกับ เหตุการณ์แปลกประหลาด ที่เกี่ยวข้องกับศาสนานั่นก็คือ ปาฏิหาริย์แห่งดวงอาทิตย์ (The Miracle of the Sun) หรือที่ศาสนกชนเรียกกันว่าปาฏิหาริย์แห่งฟาติมา เป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคมปี 1917 ในเมืองฟาติมา ประเทศโปรตุเกต ว่ากันว่า The Miracle of the Sun เป็นเหตุการณ์การประจักษ์ของแม่มารี ที่มีเด็กเลี้ยงแกะอายุน้อย 3 คน ได้แก่ ลูเซีย ดอสซานโตส (Lucia dos Santos) และลูกพี่ลูกน้องของเธออีก 2 คน อย่าง ฟรานซิสโก (Francisco) และจาซินตา มาร์โต (Jacinta Marto) พวกเขาอ้างว่าได้พบกับพระแม่มารีซึ่งได้ถ่ายทอดข้อความและคำพยากรณ์แก่พวกเขามา เด็กๆได้ฟังแบบนั้นก็ได้นำเรื่องที่พวกเขาได้พบเจอไปบอกแก่คนในหมู่บ้านว่าพระแม่มารีได้เปิดเผยความลับ 3 ประการแก่พวกเขา
ในวันที่ 13 ตุลาคม ไม่นานหลังจากที่ทั้งสามได้พบกับแม่พระแห่งลูกประคำ ก็ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นตามที่แม่พระได้บอกกับเด็กๆ โดยมีฝูงชนจำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามาที่เมืองฟาติมาเพื่อที่จะรับชมเหตุการณ์นี้ มีการประเมินว่ามีผู้คนจำนวนมากอยู่ระหว่างราว 30,000 ถึง 100,000 คนที่รวมตัวกันอยู่ที่เมืองฟาติมาและแน่นอนว่ามีทั้งสื่อมวลชนนักวิชาการอยู่ในจำนวนนั้น ซึ่งเด็กๆ บอกว่าการประจักษ์ครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และในวันนั้นขณะที่ฝูงชนกำลังรวมตัวกันอยู่ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักทำให้บริเวณนั้นเปียกโชก แต่หลังจากที่ลูเซียได้ส่งสัญญาณถึงพระแม่มารี พยานรายงานว่าอยู่ๆ ฝนก็หยุดตกกะทันหันและเมฆที่ก่อตัวกันเป็นเมฆฝนก็ได้เกิดแยกตัวออก ปรากฏให้เห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้า ผู้สังเกตการณ์บางคนรายงานว่าเห็นดวงอาทิตย์ได้เปลี่ยนสีแล้วเปล่งแสงออกมาเหมือนราวกับว่ามันกำลังตกสู่พื้นโลกก่อนที่จะกลับสู่ตำแหน่งเดิม ทำให้ The Miracle of the Sun ยังคงเป็นประเด็นที่ผู้คนหลงใหลศรัทธาและถกเถียงกันอย่างมากเหมือนได้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่โด่งดังจากหลักฐานพยานนับแสนคนที่อยู่ในเหตุการณ์และถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในยุคปัจจุบันนั่นเอง
และนี่ก็คือ 5 เหตุการณ์แปลกประหลาด ที่สุดในโลกของประวัติศาสตร์ ที่เราได้หยิบยกเอามาฝากเพื่อนๆ ชาว Ghostsfolder บอกเลยว่าเป็นเรื่องที่หลายคนไม่เคยรู้ (โดยเฉพาะเรา) แต่เรื่องปรากฎการณ์โรคระบาดของการเต้นนี่ เราเคยได้ยินมาก่อน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและไม่สามารถหาคำตอบได้เลยทั้งทางวิทยาศาสตร์หรือทางอื่นๆ มีเพียงการสมมุติฐานที่ไม่เคยมีการจดบันทึกเป็นลวิจัย มีเพียงเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์มากกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่แปลกไม่ต่างกัน เพราะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่มีการจดบันทึกเป็นผลวิจัยแต่กลับไม่สามารถพิสูจน์ได้ ถือว่าเป็นเรื่องราวชวนน่าสงสัยจริงๆ ค่ะ
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025