5 อันดับการประหารชีวิตที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึก

หัวข้อน่าสนใจ

การประหารชีวิต หรือการ “ฆ่า” เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดต่อบ้านเมืองหรือทำผิดกฎหมายขั้นสูงสุดของประเทศนั้น โทษประหารชีวิตมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้กระทั่งปัจจุบัน บางประเทศก็ยังมีบทลงโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมายโดยการประหาร หากแต่ความรุนแรงและวิธีการแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย

เป้าหมายหลักของ การประหารชีวิต คือการจัดการลงโทษผู้กระทำความผิดคดีสูงสุด ซึ่งตามหลักแล้วต้องฆ่าให้ตายทันที อย่างที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้วิธีฉีดยา หรือในยุคก่อนก็ใช้วิธียิงเป้า ตัดศรีษะ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ นักโทษจะเสียชีวิตทันที ไม่ทรมาน

แต่ถ้าย้อนอดีตไป เรากลับพบเรื่องราวน่าทึ่งเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตที่บางอาณาจักรกลับไม่ใช่แค่ “ฆ่าเพื่อลงโทษ” แต่กลับใช้วิธีการทรมานเพื่อแสดงสัญญะบางอย่าง

เอาล่ะ! พูดมาถึงขั้นนี้คงพอจะเดาออกกันใช่ไหมว่า บทความนี้ ghostsfolder เราจะพาทุกคนไปดู 5 บทลงโทษประหารชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า โหดร้าย ป่าเถื่อน และไร้มนุษยธรรมเท่าที่โลกนี้จะมีมา

การประหารชีวิตโดยการถลกหนัง (Flaying)

ลองนึกย้อนกลับไปประมาณ 1,548 ปี ซึ่งเป็นช่วงยุคกลางหรือยุโรปใหม่ตอนต้น ในอาณาจักรอัสซีเรีย คือต้นกำเนิดวิธีการลงโทษผู้กระทำความผิดโดยการถลกหนัง (Flaying) หนังที่ว่าไม่ใช่หนังสัตว์นะ เนื้อหนังของมนุษย์นี่แหละ (ในยุคนั้นมีการลงโทษโดยการเลื่อยและผ่าร่าง แล้วตัดออกเป็นชิ้น ๆ การถลกหนังก็เป็นหนึ่งในนั้น)

การถลกหนังมิใช่การลงโทษเพื่อประหาร แต่กลับเป็นวิธีการทรมานจนเสียชีวิต วิธีการคือ ผู้กระทำความผิดจะถูกนำมามัดไว้กับพื้นหรือโครง จากนั้น เพชฌฆาตจะค่อย ๆ ลงมือปฏิบัติอย่างใจเย็น เขาเริ่มถลกหนังจากใบหน้าเป็นที่แรก จากนั้นลงมาที่มือ และแผ่นหลัง ตามลำดับ เพชฌฆาตจะทำการลอกผิวหนังให้หลุดออกจากหลอดเลือดใหญ่ ทำให้นักโทษยังไม่เสียชีวิตทันที เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายชั่วโมง หรือนานสุดเป็นวันเลยก็มี

การประหารชีวิตโดยการถลกหนัง
บาร์โธโลมิวถูกถลกหนังโดยคำสั่งของกษัตริย์อาร์เมเนีย

การเสียชีวิตจะต่างจาก การประหารชีวิต ด้วยวิธีการยิงเป้า ตัดหัว หรือฉีดยา เนื่องจากนักโทษไม่ได้เสียชีวิตในทันที แต่จะถูกทรมานจนกว่าจะตาย สาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากการถูกตัดหลอดเลือดขนาดใหญ่ที่ชั้นหนังแท้และเนื้อเยื้อใต้ผิวหนัง ส่งผลให้นักโทษช็อกจากการขาดเลือด และติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วเสียชีวิตในที่สุด เมื่อถลกหนังเสร็จ จึงเอาร่างไปเสียบประจาน

การประหารด้วยวิธีนี้ถูกทำต่อหน้าสาธารณชน เป้าหมายเพื่อกำจัดผู้ทรยศ แก้แค้น แต่ว่ากันว่า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือการทำให้อับอาย เพราะมันเหมือนการประจานมากกว่าการทำโทษ ในขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นความต้องการแสดงอำนาจของผู้นำให้เห็นถึงความกลัวและอำนาจเหนือชีวิต ดังเช่นการถลกหนังที่เพชฌฆาตจะลอกออกมาทีละชั้น ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของกายวิภาคและความเปราะบางของมนุษย์ ส่วนใหญ่จะใช้ลงโทษผู้ที่ทำความผิด เช่น ผู้ทรยศ ผู้ที่ดูหมิ่นศาสนา ฆาตกรรม

ภาพแกะสลักหิน
หลักฐานการลงโทษของชาวอัสซีเรียผ่านภาพแกะสลักหิน

ปล่อยร่างลอยไปกับเรือ แล้วให้สัตว์กัดกิน (Scaphism)

การลงโทษผู้กระทำความผิด รวมถึงบุคคลที่วางแผนจะต่อต้านโดยการปล่อยให้สัตว์กัดกินจนตาย เรื่องราวนี้ถูกบันทึกในหนังสือชีวประวัติของอาร์ทาเซอร์กซีส (Life Of Artaxerxes) บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับลิทธิ “สกาฟิสม์” ของชาวเปอร์เซียโบราณ

กษัตริย์จะตัดสินลงโทษ การประหารชีวิต ผู้ที่มีแนวโน้มจะก่อกบฏและฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจับนักโทษนอนหงายบนเรือลำหนึ่ง แล้วนำเรืออีกลำที่เจาะรูไว้มาประกบกับร่างบุคคลนั้น ให้เหลือเพียงศรีษะ แขน และขาโผล่ออกมาด้านนอกเท่านั้น

ลิทธิสกาฟิสต์
การลงโทษโดยการตรึงร่างไว้กับเรือ แล้วปล่อยให้สัตว์แทะจนตาย

จากนั้น บังคับให้เขาดื่มนมและน้ำผึ้ง แล้วทามันลงบนตัว ปล่อยให้ตากแดด เพียงไม่กี่วัน ร่างกายของคนผู้นั้นก็เป็นที่ดึงดูดเหล่าแมลง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์อื่น ๆ ให้มารุมแทะ กัด กินร่างเขาทีละน้อย นักโทษไม่ได้เสียชีวิตทันที หากแต่ร่างที่ถูกตรึงไว้ด้วยตะปูเรือไม่สามารถขยับเคลื่อนที่ช่วยเหลือตัวเองได้เลย

นานวันเข้า นมและน้ำผึ้งในท้องก็จะถูกถ่ายออกมาเป็นอุจจาระ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิต เมื่อลำไส้ของเขาเริ่มเน่าเปื่อย มีสัตว์มารุมแทะทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ประกอบกับการถูกทิ้งไว้บนเรือหลายวัน ทำให้ร่างกายขาดน้ำและอาหาร บวกกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ไม่นานเขาผู้นั้นก็จะเสียชีวิตในที่สุด

การลงโทษด้วยวิธีการนี้เคยถูกบันทึกไว้ในเรื่องเล่าของมิธริดาทิส ผู้ที่ถูกกษัตริย์อาร์ทาเซอร์ซีสที่ 2 สั่งประหารด้วยวิธีการดังกล่าว เขาถูกทรมานเป็นเวลากว่า 7 วัน เมื่อเสียชีวิต ร่างที่ถูกตรึงกับเรือก็ถูกปล่อยลอยไปในทะเล

ประหารชีวิตในรูปปั้นกระทิง (The Brazen Bull) 

การประหารชีวิต โดยการจับนักโทษใส่ลงไปในรูปปั้นวัวกระทิงทองเหลือง แล้วเผาทั้งเป็น ปรากฏในหนังสือเรื่องเล่ากรีกโบราณ เกี่ยวกับ Perilaus ช่างทองเหลืองแห่งศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เขาสร้างรูปปั้นวัวกระทิงทองเหลืองขึ้นมา 1 ตัว วัวกระทิงถูกออกแบบให้ภายในเป็นท้องโล่ง (มนุยย์และสัตว์สามารถเข้าไปได้) โดยมีระบบท่อและตัวหยุด เมื่อนักโทษที่ถูกจับใส่ไว้ในนั้นร้องออกมา คนภายนอกจะได้ยินเป็นเสียงวัวคำรามราวกับกำลังโกรธ

ภาพวาดการประหารชีวิต The Brazen Bull ในหอศิลป์
ภาพวาดโดย ปิแอร์ โวเอริโอต์

Perilaus สร้างมันขึ้นมา แล้วมอบให้เป็นของขวัญแก่ Pnalaris ทรราชแห่ง Agrigentum เขาต้องการทดสอบว่ามันได้ผลจริงไหม จึงให้ Perilaus ลองเข้าไป แต่ Pnalaris กลับขังเขาไว้ในนั้น แล้วเผาทั้งเป็น เสียงของ Perilaus ร้องโหยหวนคล้ายวัวคำราม ซึ่งฟังดูเป็นเสียงทั้งอ่อนโยน น่าสมเพช และไพเราะในเวลาเดียวกัน

หลักการทำงานของ The Brazen Bull

  1. คนผู้โชคร้ายหรือนักโทษจะถูกจับใส่ลงไปในท้องวัว จากนั้น ปิดทางเข้าล็อคกลอนทุกช่องทาง ไม่สามารถหนีออกมาได้
  2. เมื่อผู้โชคร้ายคนนั้นร้องออกมาด้วยความโหยหวน เสียงของเขาจะส่งผ่านท่อที่ถูกเชื่อมต่อตรงคอวัว (ตรงกับตำแหน่งเหนือศรีษะของมนุษย์) เสียงนั้นจะถูกส่งออกมาทางจมูกของวัว ซึ่งคนภายนอกจะได้ยินเป็นเสียงวัวคำราม
  3. กองไฟถูกจุดบริเวณฐานของวัว หรือใต้ท้องของมัน ไฟจะเริ่มแผดเผาร่างจนเสียชีวิต
หลักการทำงานของThe Brazen Bull
ผู้โชคร้ายถูกจับโยนใส่ท้องวัว แล้วเผาทั้งเป็น

แขวนคอ ดึง และหั่นศพออกเป็น 4 ส่วน (Hanged Drawn and Quartered)

ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1241 ณ สหราชอาณาจักร เหตุการณ์ประหารชีวิต “วิลเลียม มาร์ค” ลูกชายของขุนนางอังกฤษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตข้อหาก่อกบฏ ซึ่งต้องบอกเลยว่าในยุคนั้นกบฎมีโทษร้ายแรงยิ่งกว่าฆ่าคนตายเสียอีก เพราะถูกมองว่าพวกเขาคือผู้ที่ต่อต้าน ต้องการโค่นอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ และท้าทายจักรพรรดิ

วิลเลียม มาร์ค โดนจับต้องโทษในฐานโจรสลัด ซึ่งเป็นความผิดาทางกฎหมาย พรบ.การกบฏ ค.ศ.1351 ซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับการก่อกบฏ เขาได้รับโทษสูงสุดคือ “การประหารชีวิต” เหตุการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า Godly Butcherry หรืออีกชื่อนึงคือ Three Deaths

การผ่าท้อง Sir Hugh Despenser
การผ่าท้อง Sir Hugh Despenser

ลักษณะการลงโทษคือ ทหารจะให้ม้าลากร่างนักโทษไปกลางสนามต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งตรงกับคำว่า Draw ที่แปลว่า “ลากโดยม้า” จากนั้น เชือกที่ผูกไว้กับคอจะถูกยกขึ้น ร่างของนักโทษถูกแขวนคอ หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว ร่างจะถูกหั่นออกเป็น 4 ส่วน

การกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นความโหดร้าย ป่าเถื่อน และไร้อารยธรรม เพราะไม่ใช่เพียงแค่การฆ่าเพื่อลงโทษ แต่เป็นการประจานร่างกายและจิตวิญญาณต่อหน้าผู้คนทั้งเมือง ด้วยเหตุนี้ การลงโทษผู้ก่อกบฏลักษณะดังกล่าว จึงทำเพียงเฉพาะผู้ชายเท่านั้น เพราะด้วยวิธีการมันเข้าข่ายอนาจารเกินไป ส่วนหากผู้หญิงทำผิด เธอจะถูกตัดศรีษะ หรือไม่ก็เผาทั้งเป็นแทน

อย่างที่ได้ทราบกันดีว่า การลงโทษด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่การจบชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่จักรพรรดิต้องการสร้างความแตกต่างระหว่าง “ผู้ชม” และ “ผู้ถูกต้องโทษ” ถามว่าทำแบบนั้นไปทำไม ก็ชัดเจนว่าหลัก ๆ เขาต้องการให้ประชาชนเห็นตัวอย่างของคนที่ต้องโค่นจักรพรรดิ เพื่อสร้างความหวาดกลัว ป้องกันการละเมิด และจัดระเบียบทางสังคม ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเห็นได้เลยว่า ผู้ถูกต้องโทษไม่ได้ถูกมองว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป 

การเสียบร่างแล้วประจาน (Impalement)

ถ้ามีการจัดอันดับวิธีการประหารนักโทษที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ประวัติมนุษยชาติเคยมีมา การเสียบร่างประจาน หรือ Impalement มักจะถูกจัดอยู่ในอันดับการประหารที่โหดร้ายจากทุกสำนัก เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าจะฆ่าคนด้วยการขังในท้องวัว การปล่อยให้สัตว์กัดแทะบนเรือจนตาย หรือแม้กระทั่งการคอแขวนคอ มันยังดูเป็น การประหารชีวิต ที่พบเจอเพียงบางส่วนของโลก แต่สำหรับการเสียบประจานนั้น เรียกได้ว่า เป็นการลงโทษที่มีอยู่แทบจะทุกส่วนของโลก

วิธีการสังหารลักษณะนี้ ผู้ถูกต้องโทษจะถูกเสียบร่างด้วยหลัก ท่อน หอก หรือบางทีก็ตะขอแทงทะลุตัวในลักษณะแนวตั้ง แล้วนำไปวางประจานต่อหน้าประชาชน (ใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเสาธงชาตินั่นแหละ)

การสังหารหมู่
การสังหารหมู่ด้วยการเสียบประจานผู้กบฎ

ผู้ที่ถูกเสียบร่างแล้วประจาน มักเป็นผู้กระทำความผิดต่อรัฐหรือทำผิดกฎมณเฑียรบาลของรัฐนั้น รวมถึงพวกก่อกบฏ ผู้ทรยศ ผู้ละเมิดวินัยทางทหาร หรือในบางประเทศก็อาจจะไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงมากนัก เช่น อาจจะแค่เป็นโจรปล้นบนทางหลวง โจรปล้นสุสาน คนที่ทำลายมาตรฐานการค้า ก็อาจต้องโทษในลักษณะเดียวกันได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ หรือแม้แต่ในบางประเทศ ก็มีการตัดหัวนักโทษ แล้วเอาหัวเสียบประจานก็มี

การประหารนักโทษด้วยวิธีการนี้ แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น กอนซซิ่ง พิธีการประหารนักโทษที่ก่อกบฏในปี ค.ศ. 1700 – 1702 เพชฌฆาตจะทำการดึงร่างนักโทษด้วยเชือกสลิงขึ้นสูง แล้วปล่อยลงมาเสียบกับเสา เหล็กแทงทะลุร่างจากหน้าท้องไปถึงหลัง ว่ากันว่าผู้ต้องโทษไม่ได้เสียชีวิตทันที เขายังคงมีลมหายใจได้อีกประมาณ 2-3 วันในสภาพร่างกายที่ถูกเสียบไปแล้ว

นอกจากกอนซซิ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดแล้ว การถูกแขวนคอด้วยซี่โครง การทรมานด้วยไม้ไผ่ ก็เป็นวิธีการที่น่าเศร้าใจไม่แพ้กัน    

Gaunching
การประหารแบบกอนซซิ่ง

สรุป

จากที่เราเล่ามาทั้ง 5 อันดับ การประหารชีวิต ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด อยากจะบอกว่านี่เป็นเพียง 1 ใน 3 ของเรื่องเล่าทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นจริง มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานปรัมปรา ซึ่งต้องบอกเลยว่า ในอดีตเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคง” หากใครที่มีแนวโน้มจะก่อกบฎหรือสร้างความปั่นป่วนอะไรก็ตามที่มันจะกระทบกับความมั่นคงของชาติ เขาจะถูกตัดสินโทษอย่างโหดร้ายทารุณ

ปัจจุบันการลงโทษด้วยวิธีเหล่านี้ถูกยกเลิกไปหมดแล้ว เพราะมองว่ามันคือการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ป่าเถื่อน และโหดร้ายเกินไป แต่โทษประหารชีวิตก็ยังเป็นบทลงโทษสูงสุดที่มีอยู่ในทุกประเทศ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนให้ซอร์ฟลง ส่วนใหญ่จะใช้วิธีฉีดยาให้นักโทษตาย ไม่ทรมาน และถูกทำในที่ลับ ไม่ได้ถูกประจานต่อหน้าสาธารณชนเหมือนในอดีต