วันวาเลนไทน์ หนึ่งในวันสำคัญที่ใครหลายคนให้ความสำคัญและมีบทบาทอย่างมากกับคนบนโลก ไม่เพียงเป็นวันสำคัญทางศาสนา แต่ยังเป็นวันสำหรับคู่รักหลายคู่ที่จะได้แสดงความรักต่อกันมากขึ้น และเชื่อรึไม่ว่า วันที่ใครต่อใครแสดงความรักต่อกัน กลับกลายเป็นวันแห่งโศกนาฎกรรมที่ไม่มีวันหวนคืน วันนี้ทีมงานของ Ghostsfolder ก็จะพาเพื่อน ๆ ไปเห็นอีกมุมของเรื่องจริงที่ยิ่งกว่าละครกับ ฆาตกรรม วาเลนไทน์ “วาเลนไทน์สีเลือด”
Dolly Oesterreich : เรื่องราวการซ่อนความลับของดอลลี่
(The Married Woman Who Kept Her Lover in the Attic)
คดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ เรื่องแรกนี้ เป็นเรื่องราวของ ดอลลี่ ออสเตอไรช์ (Dolly Oesterreich) อายุ 33 เป็นภรรยาของ เฟรด ออสเตอไรช์ (Fred Oesterreich) เจ้าของโรงงานผ้ากันเปื้อนในเมืองมิววอลกี (Milwaukee) ซึ่งเขาเป็นหนุ่มวัยทำงานที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงกับธุรกิจ ส่งผลให้ความต้องการของเธอไม่ได้รับการเติมเต็ม
ในปี 1913 ดอลลี่ได้บอกกับสามีของเธอ เกี่ยวกับเครื่องจักรเย็บผ้าของเธอที่มันเสีย ทางเฟรดจึงได้จ้างช่างซ่อมเครื่องจักรชื่อ ออตโต้ แซนแฮมเบอร์ (Otto Sanhumber) เด็กชายอายุ 17 ปี มาที่บ้าน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ลับ ๆ ระหว่างเธอกับเด็กหนุ่ม
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ก็เริ่มกลายเป็นภาระ ทำให้เพื่อนบ้านเริ่มสงสัย ทางดอลลี่จึงคนโกหกและอ้างกับเพื่อนบ้านโดยบอกว่าออตโตเป็นญาติของเธอ แต่แล้วความลับนี้ก็เริ่มจะเก็บไว้ไม่อยู่ ทำให้ดอลลี่ได้คิดแผนการขึ้นมา โดนเสนอให้เด็กหนุ่มมาอยู่ด้วยกัน แต่ต้องเสียสละชีวิตมาอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาของบ้าน
ในปี 1918 เฟรดก็รู้สึกแปลก ๆ กับบ้าน ไม่ว่าจะเห็นเงาแปลก ๆ หรือเสียงตะกุกตะกักในห้องใต้หลังคา เขาจึงตัดสินใจย้ายบ้านไปลอสแองเจลิสในปีเดียวกัน ดอลลี่ตกลงที่จะย้ายโดยมีเงื่อนไขว่าบ้านหลังใหม่ต้องมีห้องใต้หลังคา นั่นทำให้เธอส่งออตโต้ไปที่บ้านหลังนั้นล่วงหน้า และเมื่อเฟรดและดอลลี่ย้ายบ้านเสร็จ เด็กหนุ่มในวัย 22 ปี อย่างออตโต้ก็อาศัยอยู่ในห้องใต้หลังตาบ้านใหม่ของเขาแล้ว
ในทางกลับกันความสัมพันธ์ของเฟรดกับดอลลี่เริ่มแย่ลง พวกเขาทั้งสองคนเริ่มมีปากเสียงและทะเลาะกัน จนในวันที่ 22 สิงหาคม 1922 ก็เกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง ออตโต้ที่ได้ยินเหตุการณ์ก็เป็นห่วงชีวิตของดอลลี่ จึงวิ่งลงไปชั้นล่างพร้อมกับถือปืนไรเฟิลขนาด 0.25 ยิงเข้าไปที่หน้าอกของเฟรด ทำให้เขาเสียชีวิตทันที ทั้งสองคนเลยตัดสินใจจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นการบุกรุกบ้าน และทำให้ดอลลี่ได้รับมรดกเงินล้านจากประกันของเฟรดและซื้อบ้านหลังใหม่ให้ตัวเอง พร้อมห้องใต้หลังคากว้างขวางกว่าเดิม
ท้ายที่สุดเรื่องราวของคดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ นี้ ได้ดำเนินต่อไปพร้อมกับความไม่เคยพอของดอลลี่ เธอเริ่มสานสัมพันธ์กับทนายของเธอ และยังมีกิ๊กกับผู้ชายอีกคน แต่ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป เมื่อเธอหลอกใช้กิ๊กให้กำจัดปืนไรเฟิลที่ใช้สังหารเฟรด ทำให้เธอโดนตำรวจจับกุมตัวฝากขัง และในความเป็นห่วงจึงบอกกับสามีใหม่ของเธอว่าช่วยส่งอาหารไปให้ลูกพี่ลูกน้องที่ห้องใต้หลังคา ซึ่งหลังจากที่สามีใหม่ของเธอเจอกับออตโต้ และได้รับรู้ความจริงทั้งหมด ทำให้ทั้งดอลลี่และออตโต้ถูกตัดสินทางคดีความ อย่างไรก็ตามออตโต้โชคดีที่พ้นความผิดเพราะคดีหมดอายุ
เนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวการซ่อนความลับของดอลลี่ : Dolly Oesterreich ใครซ่อนอะไรไม่รู้ แต่เธอซ่อน “ชู้” ไว้ในบ้าน!
ออสการ์ พิสโทเรียส กับการตายปริศนาของคนรัก
(Oscar Pistorius and the mysterious death of lover)
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 เกิดคดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ โดย ออสการ์ พิสโทเรียส (Oscar Leonard Carl Pistorius) นักกีฬาพาราลิมปิกประเภทวิ่งแข่ง 200 และ 400 เมตร เจ้าของฉายาใบมีดลมกรด ได้ลั่นไกสังหารแฟนสาวผู้มีอาชีพเป็นนางแบบชื่อ รีวา สทีนคัมพ์ (Reeva Rebecca Steenkamp) ภายในบ้านที่เปรโตเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ โดยในตอนแรกนั้นเขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ภายหลังจากการเบิกความในศาลออสกาพูดซ้ำ ๆ กันว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ เขาเพียงเข้าใจว่าภรรยาของเขานอกใจ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าสปอนเซอร์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นค่ายมือถือ แว่นตานักกีฬา และรองเท้านักกีฬายี่ห้อดัง ต่างก็ออกมาแสดงความเสียใจและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็พยายามหาสาเหตุของคดีนี้ว่า ออสการ์จะต้องเข้าใจอะไรผิดในตัวภรรยาจนถึงขนาดต้องตัดสินใจทำแบบนี้ พวกเขาก็พบว่าก่อนที่ออสการ์จะตัดสินใจสังหารภรรยาตัวเองนั้น มันก็เพียงเพราะเขาไปพบข้อความที่รีวาโพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊กว่า “พรุ่งนี้คุณจะเอาแรงที่ไหนมาใช้ยกแขนกอดคนที่คุณรักได้” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ยังไม่ปักใจว่าสิ่งนี้คือสาเหตุที่แท้จริงของคดี และมองว่าบางทีในช่วงเวลาที่ก่อเหตุนั้น ออสการ์อาจกำลังเมาสุราจนขาดสติก็เป็นได้
ฆาตกรรมพิศวาสในโรงนาสีเลือด
(Red Barn Murder)
คดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ นี้ เป็นคดีที่ก่อเกิดจากความรัก ความโลภ ความอิจฉาริษยา ที่จบลงด้วยความตาย และดูเหมือนฆาตกรรมสุดแสนพิศวาสในครั้งนี้ จะถูกร้องเรียนด้วยวิญญาณของผู้ตายซะเอง
ในปี 1827 ณ โพสเตด เมืองซัฟฟอล์ค ประเทศอังกฤษ มีหญิงสาวที่ชื่อ มาเรีย มาเต็น (Maria Marten) ถูก วิลเลียม คอร์เดอร์ (William Corder) คนรักของเธอ ยิงเสียชีวิตโรงนา (Red Barn) เป็นสถานที่สำคัญในเมือง ซึ่งตั้งอยู่บน บาร์นฟิลด์ ฮิลล์ (Barnfield Hill) ห่างจากบ้านของมาเรียประมาณครึ่งไมล์ โดยทั้งสองคนได้นัดพบกันก่อนจะหนีไปอิปสวิช (Ipswich) จากนั้นไม่นานหลังที่พวกเขาได้หนีออกจากบ้านไป วิลเลียมก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในช่วงนั้นมาเรียกำลังให้กำเนิดลูก แต่ไม่ทันที่ลูกของมาเรียจะได้เติบโตกลับเสียชีวิตไปอย่างปริศนา โดยมีอายุเพียง 3 เดือน ต่อมาวิลเลียมได้ติดต่อมาหาเธอ เพื่อนัดเจอเธอที่โรงนาเรดบาร์น
แต่ทุกอย่างกลับพังทลาย เมี่อวิลเลียมไม่ได้มามือเปล่า เขาพกปืนมาด้วยก่อนจะตัดสินใจยิงมาเรียอย่างไม่ลังเล ทำให้เธอเสียชีวิตทันที กลายเป็นคดีฆาตกรรม วาเลนไทน์สีเลือด โดยวิลเลียมจึงได้ทำการฝั่งเธอในบริเวณนั้น แล้วหลบหนีไป พอเวลาผ่านไปครอบครัวของมาเรียสงสัยว่าทำไมลูกสาวของพวกเขาหายไป พ่อของเธอจึงติดต่อหาวิลเลี่ยมถามถึงมาเรีย วิลเลี่ยมเลยเขียนจดหมายปลอมตัวเป็นมาเรียแจ้งข่าวว่าสบายดี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลายมือไม่เหมือนกันเลยได้อธิบายว่าเกิดอุบัติเหตุ ตัวหนังสือเลยแปลก และนั่นทำให้ครอบครัวของมาเรียนั้นเชื่อสนิท
ในปี 1844 แอนน์ (Ann) แม่เลี้ยงของมาเรียได้เล่าให้กับ โทมัส (Thomas Marten) พ่อของมาเรียฟังว่า เธอฝันแปลก ๆ ฝันว่าเห็นมาเรียร้องไห้อยู่ในโรงนาเรดบาร์น ด้วยความกังวล พวกเขาจึงเกณฑ์ชาวบ้านไปช่วยกันตรวจสอบพื้นที่ เมื่อไปถึง แอนน์เลยชี้จุดที่เธอฝันเห็นน้องมาเรีย ทุกคนจึงช่วยกันขุดดินใบบริเวณจนพบศพของหญิงสาวในกระสอบเก่า ๆ โทมัสเห็นแล้วรู้เลยว่าคือมาเรีย และได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญ 1 ชิ้นนั่นก็คือ ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวของวิลเลี่ยมตกอยู่ข้าง ๆ กระสอบ สุดท้ายวิลเลี่ยมถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอต่อหน้าสาธารณะชน
เนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับคดีโรงนาสีเลือด : “แด่รักอันแสนริษยา” ฆาตกรรมพิศวาสในโรงนาสีเลือด
เรื่องราวความรักของคู่แต่งงานที่ตัดสินใจจบชีวิตในวันแห่งความรัก
(The love story of an Alabama couple married)
คดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ ต่อไปคือเรื่องราวความรักของคู่รักชาวแอละแบมาที่แต่งงานกันมานานกว่าครึ่งศตวรรษอาจมีตอนจบที่น่าเศร้า แต่ลูกสาวของพวกเขาบอกว่า “เธอรู้สึกว่าพวกเขามีความสุขที่ได้จากโลกนี้มาอยู่เคียงข้างกัน”
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของปี 2015 เจ้าหน้าที่และนายอำเภอเมืองเมดิสันของรัฐแอละแบมา (Alabama) ได้พบศพของ ทอมมี่ และ แคธเทอรีน บาร์รอน (Tommy and Katherine Barron) สองสามีภรรยาวัย 79 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน หลังจากตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ก็มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดเหตุฆาตกรรมและฆ่าตัวตายตาม โดยชี้ว่า สามีวัย 77 ปี เป็นผู้ลงมือใช้ปืนยิงภรรยาวัย 76 ปี จนแน่ใจว่าเธอเสียชีวิตแล้วจึงฆ่าตัวตายตาม
ที่พักใหม่ในวันวาเลนไทน์กลายเป็นที่พักสุดท้ายของชีวิต
(Valentine’s Day killer sentenced to prison)
เรื่องราวของคดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ เรื่องนี้ เริ่มต้นในปี 2015 ดอว์น ดิกซัน-เบย์ (Dawn Dixon-Bey) ก็ได้ลงมือใช้มีดแทง แกเกอรี่ สแต็ค (Gregory Stack) สามีของเธอวัย 49 ปี ไปถึง 2 แผลที่บริเวณหน้าอก ในขณะที่เขากำลังนอนเล่นอยู่ในห้องพักดิกซัน-เบย์ หลังจากการย้ายที่อยู่ไปยังอพาร์ตเมนต์ใหม่ในวันวาเลนไทน์ เธอบอกว่าเธอทำไปเพราะต้องการที่จะป้องกันตัวเอง แต่พยานหลายคนที่รู้เห็นเหตุการณ์กลับพูดในชั้นศาลว่า พวกเขาได้ยินเสียงเธอแทงสามีหลังจากการทะเลาะกันจบลงไปแล้วต่างหาก
สุดท้ายศาลจึงพิพากษาให้เธอได้รับโทษจำคุก 35 ถึง 70 ปีในคุก และศาลยังบอกเหตุผลกับเธออีกว่า เธอฆ่าสามีอย่างเลือดเย็น และสิ่งนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างแน่นอน เพราะเธอแทงที่หัวใจของสามีถึง 2 ครั้งด้วย ส่วนแชนน่อน สแต็ค (Shannon Stack) น้องสาวของแกเกอรี่นั้นบอกว่า จริง ๆ แล้วพี่ชายของเธอเป็นเสมือนกาวใจของครอบครัว และบอกว่า ดิกซัน-เบย์ควรจะรู้สึกกลัวในช่วงเวลาที่เธอใช้มีดแทงพี่ชายของเธอบ้าง แต่นี่เธอกลับไม่เคยแสดงอาการแบบนั้นออกมาให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ดิกซัน-เบย์ ถูกตัดสินให้จำคุก 18 ถึง 30 ปี โดย แจ็คสัน เคาน์ตี้ (Jackson County) ผู้พิพากษา
หนุ่มมิชชันนารีเจ้าชู้ ฆ่าเมียสยองโลกเพราะความรัก
(Missionary Nathan Leuthold Convicted Of Killing Wife Denise)
นาธาน ลุทโธลด์ (Nathan Leuthold) กับภรรยาชื่อ เดนนิส (Denise) ได้พบกับหญิงสาวชาวลิธัวเนียคนหนึ่งในช่วงที่ทั้งสองได้ออกเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่ยุโรปตะวันออก จนเมื่อเวลาผ่านไปเด็กสาวก็อายุได้ 18 ปี สองสามีภรรยาบ้านลุทโธลด์ก็ตัดสินใจพาเธอมาเลี้ยงดูอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และสิ่งนี้มันทำให้นาธานเริ่มตกหลุมรักเด็กสาว จน 2 ปีต่อมา จึงได้ตัดสินใจลงมือสังหารภรรยาของตัวเอง เพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กสาวที่เขารักตลอดไป
โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2013 นั้น นาธานได้โทรแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ภรรยาของเขาถูกนักย่องเบาลอบเข้ามาฆ่า ด้วยการใช้ปืนยิงที่ศีรษะของเธอ แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ รวมไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของนาธานแล้วก็พบว่า เขาได้เข้าไปในเว็บไซต์กูเกิลแล้วค้นหาข้อมูลจากคำค้นว่า “วิธีทำปืนเก็บเสียง” ตามด้วย “ตีใครสักคนที่หัวให้สลบ” และ “การฉีดยาให้ตาย” ซึ่งทั้ง 3 คำค้นนี้ก็ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญของการสืบสวนในคดีนี้ทันที
สิ่งนี้ก็ได้ทำให้นาธานถูกจับกุมตัว โดยในช่วงการต่อสู้คดีอยู่นั้นทางอัยการได้ยกหลักฐานคำค้นในกูเกิล พร้อมทั้งข้อความในกล่องข้อความของนาธานที่ถูกส่งมาจากภรรยาของเขา ที่เขียนเอาไว้ว่าเธอนั้นรู้ว่านาธานอยากจะฆ่าเธอ และยังถามนาธานว่าทำไมเขาถึงต้องการจะฉีกหน้าเธอด้วยการวิ่งตามเด็กสาวอายุ 20 ปีแบบนี้ โดยทนายของนาธานได้พูดปกป้องลูกความของตัวเองว่า เรื่องนี้มันเอามาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ และในที่เกิดเหตุเองก็ไม่มีใครเป็นพยานรู้เห็นกับเรื่องราวนี้เลย และมันจะมีประโยชน์อะไรที่นาธานจะฆ่าภรรยาของตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กสาววัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ ดังนั้นศาลควรจะต้องยกประโยชน์ให้จำเลยมันถึงจะถูกต้อง
แต่หลังจากศาลได้พิจารณาจากหลักฐาน วัตถุพยาน รวมไปถึงข้อแก้ตัวทุกอย่าง ก็ได้มีการตัดสินโทษให้นาธานถูกจำคุกถึง 45 ปี เพราะสิ่งที่ทนายพูดไว้ในประโยคสุดท้ายว่า เขาจะฆ่าภรรยาของตัวเองเพื่อจะได้อยู่กินกับเด็กสาวในวันวาเลนไทน์ทำไม ซึ่งจากความหมายจากประโยคของทนาย ก็คือคำตอบอยู่ในตัวแล้วนั่นเอง
วาเลนไทน์สีเลือด
(Warwick City Park murder case)
และคดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ สุดท้ายที่เรานำมาฝาก เกิดในปี 2011 ผู้ชายที่ชื่อว่า ชอว์น วอร์ริค (Shaun Warwick) วัย 32 ปี ได้ทำการฆาตกรรม ทิฟฟานี่ บาร์นฮิล (Tiffany Barnhill) แฟนสาวที่เพิ่งจะออกเดตกันได้ไม่นาน ด้วยการยิงเธอในระยะเผาขนพร้อมกับญาติของเธอที่อยู่ในบ้าน ณ ตอนนั้น ต่อหน้าต่อตาเพื่อนของเธออีก 2 คน ชอว์นเปิดฉากสังหารด้วยการเตะประตูบ้านของทิฟฟานีให้เปิดออก จากนั้นก็ใช้ปืนยิงใส่เธอทันที พยานที่เห็นเหตุการณ์บอกกับศาลว่า ตอนนั้นวอร์ริคพูดกับทิฟฟานี่ว่า “ไปตายซะ!!!”
ศพของทิฟฟานีถูกพบในอพาร์ตเมนต์ของครอบครัวบาร์นฮิล โดยมีศพของ เมอซิเดซ ไอเวอรี (Mercedes Ivory) ญาติของเธอนอนอยู่ข้าง ๆ ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบปืนของวอร์ริคตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
ในช่วงการพิจารณาคดีของศาลนั้น วอร์ริคพยายามให้การปฏิเสธในคดีตลอด และพยายามชี้นำคณะลูกขุนว่าตัวของเขานั้นมีอาการของผู้ป่วยจิตเภท ซึ่งด้วยคำอ้างของเขานั้นเกือบจะทำให้เขาต้องได้รับโทษประหารชีวิต จนสุดท้ายเขาก็ได้ตัดสินใจเปลี่ยนทนายคนใหม่มาช่วยสู้คดีแทนเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโดนตัดสินโทษด้วยการประหาร เป็นผลทำให้ทางชั้นศาลตัดสินโทษของวอร์ริคในข้อหา ก่อคดีฆาตกรรมด้วยเจตนา และเขาก็คำตัดสินใหม่ คือ การจำคุกตลอดชีวิต
และนี่คือ 7 คดีฆาตกรรม วาเลนไทน์ ที่เราได้นำมาฝากเพื่อน ๆ เอาไว้ ซึ่งบอกได้เลยว่าทุกเรื่องที่เรานำมานั่นล้วนแล้วแต่สะเทือนใจ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะใครก็ตามที่กำลังเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์แปลก ๆ หรือการกระทำแปลก ๆ ของคนรัก ขอห้เรื่องราวเหล่านี้เป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไปนะคะ
- 7 การทดลองกับมนุษย์ การทดลองสุดสยองที่เคยเกิดขึ้นบนโลกของเรา - October 11, 2024
- 9 ตำนานเมืองวันฮาโลวีน ความน่ากลัวของเทศกาลแห่งความสุข - October 8, 2024
- 10 ช่องยูทูปสุดหลอน น่าดูที่สุด เน้นบรรยากาศและเสียงหลอน ต้องดูตอนกลางคืน! - October 8, 2024