รวม 8 สถานที่สุดหลอน ทั่วโลก คนชอบเรื่องผียังต้องกลัว

รวม 8 สถานที่สุดหลอน ทั่วโลก คนชอบเรื่องผียังต้องกลัว

หัวข้อน่าสนใจ

ในโลกนี้มีสถานที่มากมายที่แฝงไปด้วยตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีและวิญญาณ บางสถานที่มีประวัติศาสตร์ที่น่ากลัว บางแห่งกลับเต็มไปด้วยความลึกลับและบรรยากาศที่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกขนลุก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชอบเรื่องผีหรือเป็นคนที่อยากทดสอบความกล้าของตัวเอง สถานที่สุดหลอนทั่วโลกนี้จะทำให้คุณต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยประสบการณ์และเรื่องเล่าจากผู้ที่เคยไปสัมผัสมาแล้ว เราได้รวบรวม 8 สถานที่สุดหลอน ทั่วโลก จะมีที่ไหนบ้างที่เรายังไม่เคยนำมาฝากเพื่อนๆ ตามไปดูกันเลย

สถานที่สุดหลอน : เกาะฮาชิมะ (Hashima Island) ประเทศญี่ปุ่น

เกาะฮาชิมะ (Hashima Island)
เกาะฮาชิมะ (Hashima Island)

ฮาชิมะ (Hashima Island) หรือเกาะร้างผีสิง ตั้งอยู่ในจังหวัดนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น เดิมทีเคยเป็นเหมืองถ่านหินมาก่อน และเคยเป็นสถานที่คุมขังนักโทษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีความเชื่อกันว่าบนเกาะแห่งนี้เคยมีผู้เสียชีวิตจากหลายๆเหตุการณ์รวมแล้วก็เกือบหมื่นคน อีกทั้งยังมีเรื่องลี้ลับที่หลายคนอาจจะไม่รู้นั่นก็คือที่เกาะแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายหนังเรื่อง Battle Royal

ภายในเกาะฮาชิมะ
ภายในเกาะฮาชิมะ

ซึ่งคณะถ่ายทำก็มีข่าวลือของทีมงานที่ไปถ่ายหนังเรื่องนี้ว่ามักจะเจอคนปริศนามายืนดูตอนถ่ายทำ ซึ่งปกติที่นี่ก็ก็ไม่มีคนอาศัยอยู่ส่วนใหญ่จะมีแค่ทีมงาน แต่ว่าก็ยังเห็นคนมายืนดูตอนถ่ายทำหนัง ยิ่งเป็นช่วงตอนกลางคืนนี้จะเห็นคนเยอะมาอยู่ตามพุ่มไม้บ้าง อยู่ตามจุดต่างๆกันบ้าง อีกทั้งยังเห็นว่ามีคนยืนอยู่บนตึกสูงๆที่เป็นตึกร้างแล้วมองลงมา ซึ่งถ้าเป็นคนจะไม่สามารถไปยืนอยู่ตรงนั้นได้เลย เนื่องจากบางตึกก็เป็นตึกที่ไม่มีบันไดหรือเป็นตึกถล่ม มันไม่มีทางที่จะขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ ก็เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าตกใจในกองถ่ายและเล่าสู่กันฟังต่อๆ มานั่นเอง

สถานที่สุดหลอน : รถไฟใต้ดินซินซินเนติ (Cincinnati) ประเทศสหรัฐอเมริกา

รถไฟใต้ดินซินซินเนติ (Cincinnati
รถไฟใต้ดินซินซินเนติ (Cincinnati

ซินซินเนติ (Cincinnati) รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในยุคช่วงศตวรรษที่ 19 รัฐบาลได้สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะทำเป็นรถไฟใต้ดิน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต แต่ปรากฏว่าทำไปทำมาเงินทุนดันหมดเสียก่อนและช่วงนั้นก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของหลายๆ เหตุการณ์ในยุคสมัยนั้น ทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปล่อยร้างมาโดยปริยาย ไม่มีใครมาดำเนินการอะไรต่อหลายครั้งมักมีข่าวว่าคนสิ้นหวังมักจะเข้ามาจบชีวิตที่นี่เพราะว่ามันมันเปลี่ยวและไม่มีคนผ่านไปมา ทำให้มีหลายเข้ามาผูกคอตายผีหรือมาฆ่าตัวตายที่นี่อยู่นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวขนหัวลุกของสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากเคยมีช่างภาพเข้าไปเพื่อจะถ่ายภาพโครงสร้างต่างๆ แต่ก็ไปเจอเป็นคนในยืนอยู่ทุกมุมมืดมืดเป็นเงาคนลางๆ ยืนอยู่สถานที่อย่างนั้นเต็มไปหมดเลยจนต้องวิ่งหนีออกมาเพราะความกลัวและก็ไม่กล้าเข้าไปที่อย่างนั้นอีกเลย และก็เลยกลายเป็นเรื่องเล่าๆ ต่อกันมา

สถานที่สุดหลอน : โลงศพลอยฟ้า (Hanging Coffins) ประเทศฟิลลิปินส์

โลงศพลอยฟ้า (Hanging Coffins)
โลงศพลอยฟ้า (Hanging Coffins)

โลงศพลอยฟ้า หรือ Hanging Coffins เป็นพิธีกรรมการฝังศพอันเก่าแก่ของหมู่บ้านซากาดา (Sagada) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาทางตอนเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ โลงศพหลายโลงถูกแขวนตรึงติดเอาไว้กับหน้าผาสูงชันแทนที่จะขุดหลุมฝังลงไปในใต้ดิน โดยการแขวนโลงศพนี้เป็นพิธีกรรมฝังศพที่เป็นเอกลักษณ์และสืบทอดกันมายาวนานกว่า 500 ปี ของชนเผ่าอิโกลัส ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้

โดยพวกเขาเชื่อกันว่าวิญญาณของผู้ที่จากไปแล้วจะยังคงอยู่กับผู้คนในหมู่บ้านเพื่อคอยนำทางและปกป้องพวกเขาจากสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งการแขวนโลงศพเอาไว้บนที่สูงยังเป็นการช่วยให้ผู้ที่ล่วงลับสามารถเข้าใกล้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษบนสรวงสวรรค์ได้มากยิ่งขึ้น พิธีกรรมการแขวนโลงศพไว้ข้างหน้าผานี้ถูกสงวนไว้ให้สำหรับผู้นำเผ่าหรือบุคคลสำคัญในชุมชนเท่านั้น ระดับความสูงที่แขวนโลงศพเอาไว้นั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางสังคมของพวกเขาที่ก่อนจะเสียชีวิตผู้คนเหล่านี้จะเป็นคนที่สร้างโลงศพของตัวเองขึ้นมาเพื่อรอคอยวันที่พวกเขาจะได้ลงไปนอนหลับชั่วนิรันดร์อยู่ภายในโลงศพที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ

พิธีกรรมการฝังศพอันเก่าแก่ของหมู่บ้านซากาดา (Sagada)
พิธีกรรมการฝังศพอันเก่าแก่ของหมู่บ้านซากาดา (Sagada)

โลงศพลอยฟ้าเหล่านี้มีขนาดเล็กและสั้นกว่าปกติเนื่องจากร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกจัดวางและห่อด้วยผ้าให้อยู่ในท่านอนกอดเข่า ขดตัวเป็นก้อนกลมเหมือนกับท่าของเด็กทารกเมื่อตอนอยู่ในครรภ์มารดา ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้ที่จากโลกใบนี้ไปแล้วก็ควรจะจัดไปในทางเดียวกันตอนที่พวกเขาได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นก้าวแรกในการเดินทางสู่ชีวิตหน้าของผู้ที่ล่วงลับอีกด้วย

สวนประติมากรรม Veijo Rönkkönen ประเทศฟินแลนด์

สวนประติมากรรม Veijo Rönkkönen
สวนประติมากรรม Veijo Rönkkönen

สวนประติมากรรมของเวโย รงโกเน (Veijo Rönkkönen) ตั้งอยู่ในประเทศฟินแลนด์ รูปปั้นที่มีหน้าตาและท่าทางแปลกประหลาดชวนขนลุกเหล่านี้เป็นผลงานของเวโย รงโกเน เป็นศิลปินและปฏิมากรชาวฟินแลนด์ ผู้สร้างสรรค์รูปปั้นคอนกรีตมากถึงเกือบ 500 ชิ้นเป็นเวลาเกือบ 50 ปี ตั้งแต่ปี 1961 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตไปในปี 2010

รูปปั้นหลายร้อยตัวของเวโยถูกวางประดับตกแต่งเอาไว้ภายในสวนหลังบ้านของเขา ซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในป่าเมืองปาริกการะ (Parikkala) ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งสถานที่นี้ดึงดูดผู้คนเข้าชมมากถึงปีละ 25,000 คน พากันเดินทางมายังเมืองเล็กๆแห่งนี้เพื่อเยี่ยมชมเรารูปปั้นสุดพิศวงภายในส่วนของเวโย ผู้สรรค์สร้างผลงานศิลปะอย่างสันโดษตลอดช่วงชีวิตของเขา ซึ่งในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ เขาก็ยินดีเปิดศูนย์ประติมากรรมหลังบ้านให้กับผู้คนที่สนใจสามารถแวะเข้าเยี่ยมชมผลงานของเขาได้ แต่ตัวเขาเองนั้นไม่เคยออกจากบ้านมาทักทายหรือมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับแขกผู้มาเยือนเลย โดยเขาจะทิ้งสมุดเยี่ยมเอาไว้ในสวนพร้อมกับป้ายข้อความที่ขอให้แขกผู้เข้าชมเขียนข้อความฝากเอาไว้ให้เขาแทน

สวนประติมากรรม Veijo Rönkkönen
สวนประติมากรรม Veijo Rönkkönen

สิ่งหนึ่งที่น่าตกใจก็คือรูปปั้นหลายตัวในสวนของเวโยนั้นได้ถูกประดับประดาด้วยฟันของมนุษย์ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปว่าเขาไปเสาะหาฟันมนุษย์จำนวนมากเหล่านี้มาจากไหน แต่ก็มีบางแหล่งข่าวรายงานว่าฟันที่เวโยนำมาใช้นั้นเป็นเพียงแค่ฟันปลอมไม่ใช่ฝันมนุษย์จริงๆ แต่อย่างใด

โบสถ์โครงกระดูก (Sedlec Ossuary) ประเทศสาธารณรัฐเช็ก

โบสถ์โครงกระดูก (Sedlec Ossuary)
โบสถ์โครงกระดูก (Sedlec Ossuary)

เซตเลก ออซโซรี (Sedlec Ossuary) หรือที่เราเรียกันว่าโครงกระดูก ณ สาธารณรัฐเช็ก สถานที่นี้เป็นโบสถ์ของนิกายโรมันคาทอลิกขนาดเล็ก ตั้งอยู่ใจกลางสุสานย่านชานเมืองคุทนาฮารา ในสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเมื่อมองจากภายนอกแล้วโบสถ์อันเงียบสงบแห่งนี้ก็ดูจะไม่ต่างอะไรไปจากโบสถ์อื่นๆ ในยุโรป แต่เมื่อเราได้เข้าไปด้านในแล้วก็จะได้พบกับสถาปัตยกรรมการตกแต่งอันน่าตื่นตะลึง ทั้งยังแปลกประหลาดชวนให้ขนลุกสุดขั้ว เมื่อชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์จำนวนมหาศาลถูกนำมาประดับประดาตกแต่งอยู่ภายในโบสถ์อย่างวิจิตรพิศดาร ตั้งแต่เพดานโบสถ์ลดหลั่นไล่ระดับลงมายังพื้นเบื้องล่างโดยหนึ่งในของประดับชิ้นใหญ่

เซตเลก ออซโซรี (Sedlec Ossuary)
เซตเลก ออซโซรี (Sedlec Ossuary)

ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือโคมระย้าขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานกลางโบสถ์ซึ่งประกอบไปด้วยกระดูกทุกชิ้นจากร่างกายมนุษย์ ถูกนำมาเรียงเข้าด้วยกันอย่างสวยงามตระการตา สาเหตุที่โบสถ์แห่งนี้มีโครงกระดูกอยู่มากมายเช่นนี้เนื่องมาจากในช่วงปี 1278 เจ้าอาวาสของโบสถ์ได้เดินทางไปแสวงบุญที่กรุงเยรูซาเล็ม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน เจ้าอาวาสได้นำดินจากกรุงเยรูซาเล็มกลับมาและนำมาโปรยลงที่บริเวณสุสานของหมู่บ้าน ทำให้ผู้คนมากมายจากทั่วยุโรปกลางที่ทราบข่าวต่างปรารถนาที่จะให้ร่างของตนและญาติพี่น้องได้รับการฝังไว้ที่สุสานที่มีดินศักดิ์สิทธิ์จากเยรูซาเลมแห่งนี้เพื่อหวังว่าจะได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าและเชื่อว่าวิญญาณหลังความตายของพวกเขาจะได้โบยบินสู่ทรงสวัสดิ์

ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 เกิดการระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรคทั่วยุโรป นอกจานี้ยังมีสงครามกลางเมืองทำให้ผู้คนหลายหมื่นล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สุสานของเมืองล้นจนไร้ที่ฝัง ทำให้ต้องมีการขยายพื้นที่และสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่ได้ราวปี 1400 ตั้งอยู่ใจกลางสุสานเพื่อใช้เป็นโกธเก็บรักษาโครงกระดูกเก่าที่ขุดขึ้นมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ฝังศพให้กับผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตใหม่ จนกระทั่งในพี่ 1870 ก็ได้มีการว่าจ้างช่างแกะสลักไม้ได้เข้ามาจัดระเบียบโครงกระดูกจำนวนมหาศาลที่มีอายุหลายร้อยปีภายในโบสถ์เหล่านี้ จนเกิดเป็นศิลปะการจัดวางโครงกระดูกอาจสุดอลังการและน่าสะพรึง ซึ่งศิลปินท่านนี้ก็ยังได้ฝากไลค์เสร็จโดยการจัดเรียงกระดูกเป็นชื่อของตนเองแสดงไว้บนกำแพงภายในโบสถ์แห่งนี้อีกด้วย

สถานที่สุดหลอน : สะพานโอเวอร์โทน (The Overtoun Bridge) ประเทศสก็อตแลนด์

สะพานโอเวอร์โทน (The Overtoun Bridge)
สะพานโอเวอร์โทน (The Overtoun Bridge)

สะพานอาถรรพ์โอเวอร์โทน (The Overtoun Bridge) เป็นสถานหนึ่งที่ตั้งอยู่ในประเทศสก็อตแลนด์ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเล็กๆ ที่มีการออกแบบงานสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ซึ่งสะพานแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นตอนปี 70 – 80s และด้วยความที่สะพานได้ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน รวมไปถึงไม่มีใครเข้าไปบูรณะหรือซ่อมแซมให้ดีขึ้น ทำให้เป็นสถานที่รกร้างและน่ากลัวไม่แพ้ที่อื่น ไม่เพียงเท่านั้นแต่สะพานแห่งนี้ยังมีเรื่องเล่าน่าขนลุกตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยทุกๆปีจะมีผู้คนมาจบชีวิตอยู่ที่นี่เรื่อยๆ รวมแล้วกว่า 600 ศพที่ตกลงไปอยู่ใต้สะพานแห่งนี้ นอกจากคนแล้วมีสุนัขมากกว่า 20 ตัว ได้มากระโดดฆ่าตัวตายที่นี่ด้วยเช่นกันซึ่งหลายความเห็นก็มองว่าอาจจะเป็นเพราะสัญญาณอะไรบางอย่างบนสะพานแห่งนั้นหรือเปล่าที่คอยรบกวนคลื่นสมองของเรา ทำให้เราไปยืนแล้วรู้สึกหดหู่ใจจนทำให้เกิดความนึกคิดแบบนั้น

สถานที่สุดหลอน : บ้านบอร์ลีย์ (Borley Rectory) ประเทศอังกฤษ

บ้านบอร์ลีย์ (Borley Rectory)
บ้านบอร์ลีย์ (Borley Rectory)

Borley Rectory หรือ บ้านบอร์ลีย์ที่คล้ายกับแมนชั่น เป็นแมนชั่นสไตล์วิคตอเรียในมณฑลเอสเซ็ก (Essex ) และขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านที่หลอนที่สุดในประเทศอังกฤษ เพราะว่าบ้านหลังถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1862 เพื่อให้เป็นที่พักสำหรับนักบวช แต่นับตั้งแต่สร้างเสร็จก็มีคนพบเห็นวิญญาณอยู่ตลอดมา เพราะว่ามันเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นคือมีนักบวชคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้ เกิดตกหลุมรักแม่ชีในโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน จึงวางแผนหนีตามกันไป แต่ว่าบาทหลวงจับได้ ทำให้พวกเขาโดนลงโทษ นักบวชคนนี้จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายอยู่ที่บ้านบอร์ลีย์แห่งนี้ ส่วนแม่ชีที่เป็นคนรักของนักบวชก็โดนชายปริศนาฆ่าและฝังศพอยู่ที่บริเวณบ้านแห่งนี้เช่นกัน ว่ากันว่าบาทหลวงไม่อยากให้เกิดมลทินกับศาสนา เลยได้จัดการเก็บผู้หญิงไป จึงทำให้บ้านหลังนี้เฮี้ยนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

สถานที่สุดหลอน : บ้านแห่งความอดอยาก (Starvation Heights) ประเทศสหรัฐอเมริกา

บ้านแห่งความอดอยาก (Starvation Heights
บ้านแห่งความอดอยาก (Starvation Heights

Starvation Heights หรือ บ้านแห่งความอดอยาก เป็นกระท่อมร้างที่อยู่ในรัฐวอชิงตัน เมื่อก่อนเคยเป็นที่อยู่อาศัยและโรงพยาบาลของลินดา ฮาซาร์ด (Linda Hazzard) ซึ่งเธอได้อ้างว่าเป็นหมอที่ได้รับการศึกษาระดับปริญญาทางการแพทย์และได้คิดค้นวิธีการรักษาโรคแบบแปลกๆ นั่นก็คือการปล่อยให้ผู้ป่วยอดยาก โดยใช้กระท่อมของเธอเป็นสถานที่ทดลองแนวคิดนั้นซึ่งการรักษาของเธอนั้นจะให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงอดอาหารตามโปรแกรมของเธอ ให้กินเพียงน้ำซุปเพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลา 40 วันทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเสียชีวิต หลายคนเชื่อว่าลินดาอ้างว่าเป็นการรักษาแต่ความจริงแล้วเป็นการฆาตกรรมเพื่อยักยอกเงินผู้ป่วยหรือหวังผลประโยชน์มากกว่า และเธอได้กำจัดศพโดยการนำไปฝังไว้ใกล้กับป่าบริเวณโดยรอบ

การรักษาของเธอนั้นจะให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงอดอาหารตามโปรแกรมของเธอ
การรักษาของเธอนั้นจะให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงอดอาหารตามโปรแกรมของเธอ

ต่อมาในปี ค.ศ. 1938 ลินดาได้เสียชีวิตลงจากการอดยากอาหารทำให้กระท่อมนี้ถูกปล่อยรกร้างและกลายเป็นบ้านผีสิง ซึ่งมักมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือบริเวณโดยรอบ โดยเฉพาะเสียงในห้องใต้หลังคาที่ดังขึ้น ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ข้างบน

และนี่ก็คือทั้งหมด 8 สถานที่สุดหลอนทั่วโลก ที่เราได้นำมาฝากเพื่อนๆ ชาว Ghostsfolder บอกเลยว่าสถานที่ที่เราได้หยิบมาเป็นที่ที่เรายังไม่เคยเล่าหรือเขียนให้เพื่อนๆ ได้อ่านเลย เราเลยไปสืบเสาะ เจาะหามาให้ พร้อมเล่าประวัติความเป็นมาและเรื่องเล่าหลอนๆ แบบเต็มอิ่ม ใครที่ชอบเรื่องีหรือเรื่องสถานที่หลอนๆ อาจจะชอบคอนเทนต์แนวนี้ เรามีมาให้อ่านอีกแน่นอน ติดตามได้ที่บทความหน้าค่ะ