เทศกาลตรุษจีน

ตำนาน ‘ปีศาจเหนียน’ กับเทศกาลตรุษจีน ความเชื่อและความหวาดกลัว

หัวข้อน่าสนใจ

รู้หรือไม่? ว่าเทศกาลตรุษจีนมีตำนานอะไรที่มากกว่าวัฒนธรรมที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ซึ่งบางคนเองก็ยังไม่รู้ รวมไปถึงชาวไทยเชื้อสายจีนหลายคนก็อาจจะไม่เคยรู้ว่าทำไมในช่วงเทศกาลตรุษจีนต้องทำอย่างนั้น หรือทำอย่างนี้ ซึ่งในวันนี้เราจะมาเล่าตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับวันปีใหม่ของชาวจีนหรือเทศกาลตรุษจีนให้เพื่อน ๆ ชาว Ghostsfolder ได้รู้กัน ว่าแท้จริงแล้วต้นกำเนิดมันมาจากไหนกันแน่

ตำนานของ ‘ปีศาจเหนียน’ ปีศาจร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว

‘ปีศาจเหนียน’ ชื่อนี้ตามภาษาจีนมาจากคำว่า 年兽 (nían) ซึ่งมีความหมายว่า ‘ปี’ นั่นเพราะปีศาจตนนี้จะออกมาอาละวาดยามค่ำคืนก่อนเช้าวันปีใหม่ของเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเพราะคำสาปของเง็กเซียนฮ่องเต้ ที่สาปมันไว้ให้กลายเป็นหิน และคำสาปนั้นจะอ่อนแอลงทุกสิ้นปี มีเพียงแสงอาทิตย์ยามเช้าเท่านั้นที่จะทำให้มันกลับไปเป็นรูปปั้นหินดังเดิม

ปีศาจตนนี้มีความดุร้ายและร้ายกาจเป็นอย่างมาก ตามตำนานบอกว่าลักษณะของมันมีลำตัวที่ใหญ่กว่าสิงโตถึงสองเท่า เขี้ยวของมันทั้งยาวและคมดุจดั่งกระบี่ หัวของมันมีขนที่รุงรัง และความดุร้ายของมันทำให้ชาวบ้านต่างต้องพากันลี้ภัยออกจากหมู่บ้านในคืนก่อนสิ้นปี เพื่อหลีกหนีจากปีศาจตนนี้ที่จะเข้ามาอาวะลาดจับผู้คนในหมู่บ้านกิน

ตำนานของ 'ปีศาจเหนียน' ปีศาจร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว
ตำนานของ ‘ปีศาจเหนียน’ ปีศาจร้ายที่ผู้คนหวาดกลัว

ทำไม “ปีศาจเหนียน” ถึงเป็นต้นกำเนิดความเชื่อการจุดประทัด

ในวันสิ้นปีในปีหนึ่ง ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งนามว่า ‘หมู่บ้านเถาชุน’ คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างก็กำลังพากัน หอบลูกจูงหลานไปหลบภัยบนภูเขาเช่นเดิม แต่มี ‘ชายแก่ขอทาน’ เคราขาวคนหนึ่งมาจากนอกหมู่บ้าน เดินทางเข้ามายังหมู่บ้านนี้ และด้วยความที่ทุกคนกำลังรีบร้อนหวาดกลัว จึงไม่มีใครสนใจชายแก่ขอทานคนนี้ มีเพียง ‘ยายแก่’ คนหนึ่งพบเห็น แล้วให้อาหารแก่ชายแก่ พร้อมแนะนำให้รีบขึ้นเขาไปซ่อนตัวจากปีศาจ

แต่ชายแก่ผู้นั้นกลับไม่มีทีท่า หรือสีหน้าเกรงกลัวอะไรเลย พร้อมกล่าวว่า “หากแม้นว่าท่านให้ข้าพักที่นี่หนึ่งคืน ข้าจะขับไล่ปีศาจเหนียนให้ท่าน” ยายแก่ก็มองเขาด้วยความสงสัย แต่ด้วยเวลาเร่งรีบที่ต้องเดินทางขึ้นเขาไปหลบภัย ยายแก่จึงไม่มีทางเลือก และจำต้องทิ้งบ้านขึ้นเขาไปหลบภัย

พอถึงเที่ยงคืน ปีศาจเหนียนก็ตรงดิ่งมายังหมู่บ้าน มันพบว่าบรรยากาศในหมู่บ้านไม่เหมือนกับทุกปี บ้านของยายแก่คนนั้นทางด้านตะวันออก บนประตูแปะกระดาษสีแดง ในบ้านจุดเทียนสว่างไสว มันเริ่มตัวสั่นไปหมดทั้งร่าง พร้อมส่งเสียงร้องออกมา มันหันไปจ้องเขม็งยังบ้านของยายแก่ชั่วครู่ ทันใดนั้นมันก็วิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง พอเข้าไปใกล้ประตู ภายในบ้านก็มีเสียงประทัดดัง “ปัง ปัง” ขึ้นมา ทำให้มันตัวสั่นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก

ทำไม “ปีศาจเหนียน” ถึงเป็นต้นกำเนิดความเชื่อการจุดประทัด
ทำไม “ปีศาจเหนียน” ถึงเป็นต้นกำเนิดความเชื่อการจุดประทัด

เช้าวันที่สองในวันปีใหม่ ผู้คนที่ไปหลบภัย กลับมาเห็นหมู่บ้านก็ตกใจที่หมู่บ้านของตนกลับสงบสุข ไม่เหมือนทุกปีที่ปีศาจเหนียนเคยมาอาละวาด เวลานั้นยายแก่ก็รีบอธิบายกับพวกผู้คนในหมู่บ้าน ว่านี่เป็นคำสัญญาของชายแก่ขอทาน ชาวบ้านสงสัยจึงมุ่งหน้าไปบ้านยายแก่ ก็พบกระดาษสีแดงที่แปะอยู่หน้าประตู  ภายในสวนมีไม้ไผ่กองหนึ่งที่ยังเผาไหม้ไม่หมด และยังคงส่งเสียงระเบิดเป๊าะแป๊ะ และภายในบ้านยังมีเทียนสีแดงที่ยังคงมีแสงสว่างเหลืออยู่

ชาวบ้านต่างดีใจกันมาก และทำให้ชาวบ้านได้รู้ว่า ปีศาจเหนียนนั้นกลัวสีแดง แสงไฟ และเสียงประทัดเป็นที่สุด ตั้งแต่นั้นมาในคืนวันสิ้นปีที่กำลังจะเข้าสู่เทศกาลตรุษจีน ทุกบ้านก็จะแปะคำกระดาษสีแดง และจุดประทัดเสียงดัง แต่ละบ้านจุดไฟสว่างไสว เพื่อกำจัดปีศาจร้าย และเฝ้ารอเวลาให้แสงอาทิตย์ของวันปีใหม่ขึ้นอย่างสงบสุข

ทำไม “ปีศาจเหนียน” ถึงเป็นต้นกำเนิดความเชื่อการจุดประทัด
ทำไม “ปีศาจเหนียน” ถึงเป็นต้นกำเนิดความเชื่อการจุดประทัด

แท้จริงแล้วชายแก่ขอทานคนนั้น คือ ‘เง็กเซียนฮ่องเต้’ ที่แปลงกายลงมาเพื่อบอกวิธีการปราบปีศาจ ทุกคนจึงได้รู้ว่า มันกลัวสีแดง เสียงประทัด และไฟ พวกเขาจึงยึดถือวิธีนี้ในทุกปีช่วงเทศกาลตรุษจีน และมันก็ไม่ได้กลับมายังหมู่บ้านนี้อีกเลย

จากตำนานที่หวาดกลัวกลายเป็นธรรมเนียนที่ต้องปฏิบัติ

เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อตำนานเรื่องนี้ก็ได้กลายมาเป็น “ข้อปฏิบัติ” เพื่อเสริมสิริมงคล และทำให้ผู้คนรู้สึก “อุ่นใจ” เหมือนมีเทพเจ้ามาปกป้อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติจะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ความเชื่อและความศรัทธาที่ผู้คนยึดถือปฏิบัติในเทศกาลตรุษจีน ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่นั้นมา