กำเนิด ‘การ์กอยล์’ (Gargoyle)

กำเนิด ‘การ์กอยล์’ (Gargoyle) ตำนานอสุรกายแห่งรูออง จากผู้คุกคาม สู่ผู้คุ้มครอง

หัวข้อน่าสนใจ

หลายคนที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศอาจจะเคยเห็นรูปปั้น การ์กอยล์ หรือ ปนาลี ตามวิโบสถ์ ซึ่งมาจากคำว่า Gargouille (กากุยล์) ในภาษาฝรั่งเศสโบราณ แปลว่า ปาก การที่เสียงของคำว่า Gargoyle คล้ายเสียงกลั้วน้ำในปาก และคล้ายคำว่า Gargle (บ้วนปาก) ในภาษาอังกฤษ คือสิ่งบอกใบ้ถึงความเป็นมาแห่งนามของ การ์กอยล์ ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้นเราไปดูตำนานของเจ้าตัวสัตว์ประหลาดพวกนี้กัน

Gargoyle
รูปปั้นการ์กอยล์

โดยทั่วไปเราจะเห็น Gargoyle หรือ ปนาลี ประดับอยู่ตามมุมหลังคาหรือผนังด้านนอกอาคาร โดยเฉพาะโบสถ์คริสต์สไตล์โกธิค ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดการประดับรูปปั้นเหล่านี้ รูปร่างนั้นมีทั้งมังกร อสุรกาย ปีศาจ อมนุษย์ ว่าง่าย ๆ คือ สัตว์ประหลาดหน้าตาดุร้ายทั้งหลาย แต่โด่งดังอย่างมากคือการ์กอยล์แห่ง มหาวิหารนอเทรอดาม กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีการประดับตกแต่งปีศาจเหล่านี้เต็มไปหมด และมีส่วนหนึ่งที่ดูคล้ายมนุษย์ค้างคาวด้วย

อสุรกายแห่งรูออง

ตำนานกำเนิด การ์กอยล์ ของชาวยุโรปเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7 ณ หมู่บ้านรูออง (Rouen) ตอนเหนือของฝรั่งเศส มหันตภัยที่กำลังคุกคามหมู่บ้านแห่งนี้อยู่คือ “มังกร” นามว่า ลา กากุยล์ (La Gargouille) เป็นมังกรไฟคอยาว มีปีก ตามแบบฉบับมังกรตะวันตก ลา กากุยล์ สามารถบินเหนือหมู่บ้านแล้วพ่นไฟแผดเผาเรือกสวนไร่นากับบ้านเรือน รวมทั้งอาละวาดทำร้ายหรือกินชาวบ้านกับฝูงปศุสัตว์ได้ด้วย มันยื่นคำขาดให้ชาวบ้านรูอองส่งหญิงสาวของหมู่บ้านเป็นเหยื่อให้มันประจำทุกปี ชาวบ้านก็ยอมทำตามอย่างจำใจ

อสุรกายแห่งรูออง
อสุรกายแห่งรูออง

ในที่สุด หมู่บ้านรูอองก็มี “ฮีโร่” มาช่วย เป็นนักบวชคริสต์ นาม เซนต์โรมานุส (St. Romanus) หรือนักบุญโรมานุส ผู้มีเพียงไม้กางเขนและน้ำมันศักดิ์สิทธิ์สำหรับปราบ ลา การ์กุยล์ ท้ายที่สุดมังกรร้ายก็สยบต่อนักบวชผู้นี้ ท่านส่งมันให้ชาวบ้านจัดการเอง ชาวรูอองผู้เคียดแค้นลงมือสังหารเจ้ามังกรก่อนนำไปเผาไฟ แต่เพลิงไม่อาจทำลายมังการไฟให้สิ้นซากได้ ส่วนหัวและคอของมังกรร้ายไม่ยอมไหม้ไฟ

เซนต์โรมานุสจึงให้ชาวบ้านนำหัวมังกรไปประดับกำแพงวิหาร ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ชาวบ้านสร้างเพื่ออุทิศถวายแด่วีรกรรมของท่านเอง กลายเป็นธรรมเนียมการประดับรูปปั้นปีศาจ “การ์กอยล์” ตามอาคารโบสถ์หรือศาสนสถานในคริสต์ศาสนานับแต่นั้น ความเชื่อที่คู่มากับตำนานนี้คือ หัวมังกรมีอานุภาพขับไล่ความชั่วร้ายทั้งหลายได้ แต่บางตำนานเล่าว่า ปีศาจตัวดังกล่าวไม่ใช่มังกร แต่เป็นอมนุษย์รูปร่างคล้าย “ค้างคาว”

Gargoyle
ปีศาจตัวดังกล่าวไม่ใช่มังกร แต่เป็นอมนุษย์รูปร่างคล้าย “ค้างคาว”

เมื่อค่านิยมการประดับหัวมังกรแพร่หลายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ความหลากหลายขอไอเดียการสร้างรูปปั้นเริ่มกระจัดกระจายตามท้องถิ่น แต่ไม่ว่า Gargoyle จะถูกสร้างให้เป็นตัวอะไร หน้าตาของมันจะต้องดุร้ายและน่าเกลียดน่ากลัวไว้ก่อน เพื่อข่มขวัญสิ่งชั่วร้ายที่เข้าใกล้เขตอาคารให้มากที่สุด

ปีศาจผู้พิทักษ์

ด้านความเชื่อของ Gargoyle ถือเป็น ผู้พิทักษ์วิหาร เพราะต้องคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายไม่ให้ย่างกรายมาใกล้ตัวอาคารหรือศาสนสถาน และปกป้องผู้ศรัทธาจากการรังควาญของเหล่าปีศาจนอกศาสนิก มีตำนานเล่าว่า แม้ Gargoyle ในรูปลักษณ์สารพัดสัตว์ประหลาดจะเป็นหินหรือรูปปั้นแข็งทื่อในตอนกลางวัน แต่พวกมันจะมีชีวิตในตอนกลางคืน และยิ่งไปกว่านั้นมันสามารถเฝ้ามองผู้คนผ่านไปมาได้แม้อยู่ในสภาพที่ภายนอกเป็นหินก็ตาม

ปีศาจผู้พิทักษ์
ปีศาจผู้พิทักษ์

แต่ในทางทางกลับกัน ด้านสถาปัตยกรรมหน้าที่ของมันไม่ใช่เพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายภายนอกเท่านั้น แต่ยังปกป้องศาสนสถานจาก น้ำฝนที่มาจากด้านบนหรือหลังคาอาคาร ซึ่งจะเห็นว่ารูปปั้น Gargoyle คือปลายทางของท่อระบายน้ำ ที่ลำเลียงน้ำจากทั่วตัวอาคารส่งออกไปข้างนอกนั่นเอง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนกัดเซาะสร้างความเสียหายแก่ตัวโบสถ์ นับเป็นการประดับตกแต่งอย่างชาญฉลาดที่ได้ทั้งความสวยงาม และยังสื่อความหมายทางการศรัทธา รวมถึงปิดบังรางน้ำไม่ให้ยื่นออกมาลอย ๆ จนดูไม่เจริญตาสำหรับศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยนั่นเอง

และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม Gargoyle ต้องมีคอหรือรูปร่างเหยียดยาวยื่นออกมา ก็เพื่อส่งน้ำออกไปให้ไกลนั่นเอง นี่ยังเป็นที่มาของชื่อ “การ์กอยล์” ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่ดังกล่าว เพราะท่อน้ำมักสิ้นสุดบริเวณปากของรูปปั้นเสมอ เสมือนน้ำที่ไหลออกจากคอนั่นเอง

การ์กอยล์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

ด้านศิลปกรรม ศิลปะโกธิคของโบสถ์ที่ประดับตัวรูปปั้นคือจุดสูงสุดของพัฒนาการศิลปกรรมแห่งยุคกลางของยุโรป เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายยุคกลางต่อเนื่องยุคเรเนซองส์ ราวคริสต์ศตวรรษที่ 12-16 ซึ่งมีตัวการ์กอยล์เป็นตัวแทนงานศิลปกรรมจากความเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาด และเป็นส่วนเติมเต็มให้ตัวสถาปัตยกรรมมีอายุยืนยาวขึ้น

Gargoyle
การ์กอยล์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

ถึงแม้จะปรากฏในตำนานคริสต์ศาสนาของยุโรปยุคกลาง แต่นวัตกรรมหัวสัตว์ระบายน้ำมีอยู่ในอารยธรรมอื่น ๆ ทั่วโลกมาก่อนหน้านั้นแล้ว เช่น ตุรกี อียิปต์ หรือกรีซ ที่วิหารเทพซุส ประเทศกรีซ ยังมีร่องรอยรูปปั้นลักษณะและตำแหน่งบ่งชี้วัตถุประสงค์เดียวกันกับ Gargoyle อยู่จำนวนหลายสิบตัว และอาจมีถึงร้อยตัวในสมัยที่วิหารนี้ยังสมบูรณ์ จึงไม่แน่ใจว่ายุโรปตะวันตกรับเอาค่านิยมการปั้นสัตว์ประหลาดจากต่างแดนก่อนทำการเลื่อนขั้น ปีศาจในนิทานปรัมปราให้เป็นผู้พิทักษ์ หรือตัวแทนของคริสตจักรคอยปกป้องคริสตศาสนิกชนจากความชั่วร้ายสืบทอดมา

แต่วิธีการดังกล่าวดูจะเข้าใจและจับต้องง่ายกว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปในยุคกลางเลยก็ว่า เพราะพวกเขาไม่สามารถอ่านออกเขียนได้เหมือนในสัมยนี้ และแน่นอนว่าการรับรู้ว่าศรัทธาของตนมีผู้คุ้มกันย่อมอุ่นใจกว่าการเพ่งดูคำภาษาละตินในพระคัมภีร์ที่พวกเขาไม่เข้าใจความหมาย

Gargoyle
Gargoyle

ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในความพิเศษของการ์กอยล์คือการเป็นตัวอย่างอันเด่นชัดของ 2 ตัวตนที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัว เหมือนตัวแทนของความเลวทราม แต่ทว่ามันกลับเป็นผู้พิทักษ์ศาสนสถานที่คอยปกป้องผู้ศรัทธา และดูเหมือนกระเด็นกระดอนไปมาระหว่าง ความชั่ว กับ ความดี ในแง่หนึ่งด้วยเช่นเดียวกันการ์กอยล์อาจมีส่วนช่วยเผยแผ่คริสต์ศาสนาในยุโรปด้วย เพราะมีการพบว่ารูปปั้นส่วนหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจ ให้เหมือนเทพหรือสัตว์ประหลาดในตำนานท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อจูงใจคนนอกรีตให้รับคริสต์ศาสนาได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

Gargoyle
Gargoyle

แต่ในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปความนิยมในการสร้างรูปปั้นก็เลยเปลี่ยนตามไปด้วย นอกจากปีศาจเหล่านี้จะถูกนำไปประดับตกแต่งอาคารอื่น ๆ นอกเหนือจากวิหารแล้ว Gargoyle สมัยใหม่ยังถูกแต่งเติมไอเดียให้แหวกไปจากสัตว์ประหลาดในปกรนัมหรือตำนานทางศาสนา จนกลายเป็นสิ่งสะท้อนความร่วมสมัยตั้งแต่การทำเป็นมนุษย์หน้าตาประหลาดไปจนถึง “เอเลี่ยน” ก็มี เหมือนที่เราเห็นได้จากในภาพยนตร์ดัง ๆ มากมายนั่นเองค่ะ

สำหรับการ์กอยล์แห่งมหาวิหารนอเทรอดามนั้น ถึงแม้ว่าตัววิหารจะสร้างขึ้นมาตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 แต่ทว่าตามแพลนเดิมไม่ได้วางให้มีรูปปั้น Gargoyle ประดับแต่อย่างใด นั่นก็เพราะพวกมันเพิ่งถูกเพิ่มเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 นี่เอง แต่อย่างไรก็ตามการ์กอยล์พวกนี้ก็สามารถทำให้ตัวมหาวิหารดูเป็นโบสถ์ที่เหมือนหลุดออกมาจากยุคกลางจริง ๆ เพื่อให้เราได้เห็นมาจนถึงปัจจุบันนี้

.

สามารถติดตามคดีฆาตรกรรมและเรื่องเล่าผีแบบนี้ได้ที่ แฟ้มลับเรื่องสยองขวัญที่คุณอาจไม่เคยรู้ (ghostsfolder.com)