ย้อนรอยความเชื่อ ฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย ที่ประเทศญี่ปุ่น

ย้อนรอยความเชื่อ ดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย ที่ประเทศญี่ปุ่น

หัวข้อน่าสนใจ

ดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมายลึกซึ้งในประเทศญี่ปุ่น ดอกไม้ชนิดนี้มีความโดดเด่นด้วยสีแดงสดที่สะดุดตาและรูปทรงของกลีบที่โค้งงอนอย่างงดงาม นอกจากความงามที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ฮิกันบานะยังถูกเชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องความตายและชีวิตหลังความตายในคติญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ตามตำนานพื้นบ้าน ดอกไม้นี้มักปรากฏในบริเวณสุสานหรือพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการลาจาก และมักถูกใช้ในการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำของผู้ล่วงลับ 

ชื่อ “ฮิกันบานะ” มีความหมายว่า “ดอกไม้แห่งอีกฟากฝั่ง” ซึ่งสื่อถึงความเชื่อที่ว่าดอกไม้นี้จะผลิบานในช่วงเทศกาลฮิกัน (Higan) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวญี่ปุ่นแสดงความระลึกถึงบรรพบุรุษ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง ความเชื่อที่ว่าดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย เป็นเครื่องหมายของการลาจากชั่วนิรันดร์และความรักที่ไม่มีวันหวนคืน ทำให้มันเป็นดอกไม้ที่มีทั้งความงดงามและความเศร้าในเวลาเดียวกัน

ดอกไม้แห่งความตาย
ดอกไม้แห่งความตาย

ความหมายและลักษณะของดอกฮิกันบานะ

ฮิกันบานะ (Higanbana) หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า “Red Spider Lily” เป็นดอกไม้ที่มีลักษณะโดดเด่นและสวยงาม ด้วยกลีบดอกสีแดงสดใสที่เรียงรายเหมือนเปลวไฟ และก้านดอกที่ยาวชูขึ้นจากพื้นดิน ลักษณะดังกล่าวทำให้ดอกไม้ชนิดนี้มีความโดดเด่นท่ามกลางธรรมชาติ ดอกฮิกันบานะส่วนใหญ่จะบานในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลฮิกัน (Higan) ในศาสนาพุทธที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ

ชื่อ “ฮิกัน” มีความหมายว่า “อีกฝั่งหนึ่ง” ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างโลกของคนเป็นและโลกของคนตาย ดอกไม้นี้มักปรากฏในสุสานหรือบริเวณที่เกี่ยวข้องกับความตาย ความเชื่อดังกล่าวเป็นเหตุผลว่าทำไมฮิกันบานะถึงได้รับสมญานามว่า “ดอกไม้แห่งความตาย”

ดอกไม้ตัวแทนแห่งการพลัดพราก
ดอกไม้ตัวแทนแห่งการพลัดพราก

ตำนานและเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง ฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ดอกฮิกันบานะถูกเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าและตำนานหลากหลาย หนึ่งในตำนานที่เป็นที่รู้จักเล่าถึงเทพสององค์ที่มีหน้าที่ดูแลดอกฮิกันบานะ หนึ่งคือเทพแห่งดอกไม้ที่ชื่อว่า “มาเนะจิ” (Manegi) และอีกองค์คือเทพแห่งใบไม้ชื่อว่า “ซาเนะจิ” (Saneji) ทั้งสองเทพถูกสาปให้ไม่สามารถพบกันได้ ดังนั้น ดอกฮิกันบานะจึงไม่มีใบในช่วงที่ดอกบาน และในขณะที่ใบไม้เติบโต ดอกไม้กลับหายไป

อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับความรักที่ไม่สมหวัง หรือการพลัดพรากชั่วนิรันดร์ ทำให้ดอกฮิกันบานะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าโศกและการลาจาก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากใครพบเห็นดอกไม้ชนิดนี้ในความฝัน อาจเป็นสัญญาณบอกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต

ความเกี่ยวข้องกับศาสนาและประเพณี

ดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตายมีความเชื่อมโยงกับศาสนาพุทธในญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง ในช่วงเทศกาลฮิกัน ผู้คนจะไปเยี่ยมสุสานและจัดดอกไม้เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ ดอกฮิกันบานะที่บานในช่วงนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและความตาย นอกจากนี้ยังมีการปลูกดอกฮิกันบานะรอบสุสานเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายและสัตว์ป่าที่อาจทำลายศพ ความเชื่อนี้มาจากสารพิษที่มีอยู่ในหัวของพืชชนิดนี้ ซึ่งสามารถทำให้สัตว์ป่าล้มตายได้หากกินเข้าไป การใช้ดอกไม้ชนิดนี้ในบริบททางศาสนาและประเพณีจึงสะท้อนถึงความเชื่อในเรื่องการคุ้มครองและการป้องกัน

สัญลักษณ์และความหมายในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน ดอกฮิกันบานะยังคงเป็นที่นิยมในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นในบทกวี ภาพวาด หรือภาพยนตร์ โดยมักใช้เป็นสัญลักษณ์ของการลาจาก ความทรงจำ และความเศร้า นอกจากนี้ยังปรากฏในงานศิลปะและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรักที่ไม่สมหวัง หรือการเสียสละ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ดอกไม้ชนิดนี้ยังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามที่เปราะบาง และการยอมรับในความไม่แน่นอนของชีวิต ดอกฮิกันบานะสื่อถึงการเข้าใจในวัฏจักรของชีวิตและความตาย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

หลายพื้นที่ในญี่ปุ่นจัดเทศกาลชมดอกฮิกันบานะในช่วงที่ดอกไม้บานสะพรั่ง
หลายพื้นที่ในญี่ปุ่นจัดเทศกาลชมดอกฮิกันบานะในช่วงที่ดอกไม้บานสะพรั่ง

การเฉลิมฉลองเทศกาลดอกฮิกันบานะ

หลายพื้นที่ในญี่ปุ่นจัดเทศกาลชมดอกฮิกันบานะในช่วงที่ดอกไม้บานสะพรั่ง เช่น ที่สวนคินจักุจิ (Kinchakuda) ในจังหวัดไซตามะ ซึ่งมีดอกฮิกันบานะนับล้านต้นปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับความงดงามและบรรยากาศอันเงียบสงบของธรรมชาติ เทศกาลเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสให้ผู้คนได้ชื่นชมความงามของดอกไม้ แต่ยังเป็นการรำลึกถึงความเชื่อและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับดอกฮิกันบานะ การเดินชมทุ่งดอกไม้พร้อมกับการเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้เยี่ยมชมเข้าใจถึงความสำคัญของดอกไม้ชนิดนี้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากขึ้น

ถ้าไม่อยากจะต้องไปหาดูตามสุสานให้รู้สึกขนลุกขนพอง ก็ต้องไปดูที่ สวนคินชาคุดะ-มันจูชาเกะ (Kinchakuda Red Spider Lily Park) ที่เมืองฮิดากะ จังหวัดไซตามะครับ จะมีดอกฮิกันบานะให้ดูเป็นทุ่งกว่า 5 ล้านดอกเลย ถ้ามาในช่วงนอกฤดูกาลก็จะมีดอกไม้ชนิดอื่นๆ ให้ได้ชมกันทั้งปีแทนครับ เช่น ดอกนาโนะฮานะ และดอกคอสมอสที่จะบานตามฤดูกาลนั้นๆ

ดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย
ดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

  • ที่ตั้ง : 125-2 Komahongo, Hidaka 350-1251 Saitama Prefecture
  • เปิดบริการ : 08.00-17.00 น. (ช่วงเทศกาลฮิกันบานะเปิดให้เข้าตั้งแต่ 07.00 น.)
  • สถานีรถไฟ : นั่งรถไฟสาย Seibu จากสถานี Seibu Ikebukoro ลง Hanno เปลี่ยนสายมาลง Koma เดินอีกประมาณ 10 นาทีจะถึงสวน
  • ค่าเข้า : 300 เยน ( ค่าเข้าฟรีแล้วแต่ฤดูกาล แต่ฤดูท่องเที่ยวไม่ฟรี)
  • เว็บไซต์ : http://www.kinchakuda.com (ภาษาญี่ปุ่น)

บทสรุป

ดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย ไม่ใช่เพียงแค่ดอกไม้ที่มีความสวยงาม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ความเชื่อ และประเพณีของญี่ปุ่น ลักษณะเฉพาะตัวและความหมายที่ลึกซึ้งทำให้ดอกไม้ชนิดนี้มีความสำคัญในหลายแง่มุม ตั้งแต่ศาสนา วรรณกรรม ไปจนถึงศิลปะ การศึกษาและเข้าใจเรื่องราวของดอกฮิกันบานะจึงเปรียบเสมือนการเข้าใจถึงปรัชญาของชีวิตและความตาย ที่ยังคงเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน