“เชอร์โนบิลสยอง” หรือ “ภัยพิบัติเชอร์โนบิล” คือมหันตภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ คร่าชีวิตผู้คนและลากเอาเหล่าวิญญาณผู้บริสุทธิ์ลงนรกไปพร้อมกับหายนะของโรคร้าย เรื่องราวของโรงไฟฟ้าผลิตนิวเคลียร์ที่เกิดอุบัติเหตุในปี 1980 ที่โลกต้องจดจำ เหตุเพราะความสะเพร่าระหว่างการทดสอบระบบความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 หรือการออกแบบที่บกพร่อง หรือมีอาถรรพ์อะไรมากกว่านั้น ? วันนี้เราจะไปย้อนรอยและหาคำตอบกันค่ะ
อุบัติเหตุครั้งประวัติศาสตร์ โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลสยองระเบิด
โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล (Chernobyl nuclear power plant) มีชื่อทางการว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์วลาดิมีร์ เลนิน ก่อสร้างปี 1972 ในพื้นที่ของเมือง “พรีเพียต” (Pripyat) ประเทศยูเครน ซึ่งเดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต กระทั่งวันที่ 26 เมษายน 1986 ได้เกิดเหตุสยองขึ้น เมื่อเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 เกิดขัดข้องและระเบิดขึ้น ระหว่างการทดสอบในเวลากลางคืน
ในวันที่ 26 เมษายน 1986 วิศวกรประจำทีมได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบนั้นล่าช้ากว่ากำหนด จนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ณ ตอนนั้นได้เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย ก่อนจะระเบิดขึ้น
ความน่ากลัวเชอร์โนบิลสยอง หายนะที่โลกจดจำ
เหตุการณ์การระเบิดครั้งนั้น ได้คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไปทันทีหลายสิบคน เกิดไฟไหม้นานถึง 9 วัน และทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 47 ราย พื้นที่ในรัศมี 30 กิโลเมตร รอบ ๆ โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลสยองถูกประกาศให้เป็นเขตอันตรายเพราะมีขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่มีอันตรายร้ายแรงพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ และรั่วไหลไปกว่า 8 ตัน ซึ่งมีนิวไคลด์กัมมันตรังสีสองชนิดสำคัญที่คุกคามชีวิตผู้คน ได้แก่ ไอโอดีน-131 อายุสั้น (ครึ่งชีวิต 8 วัน) และซีเซียม-137 อายุยาว (ครึ่งชีวิต 30 ปี) แพร่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ต่อมาเพียง 1 ปี มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพิ่มเป็น 4,000 คน
ความน่ากลัวเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่ความเสียหายในด้านของค่าใช้จ่าย แต่เป็นเรื่องของ “ชีวิต” ที่ถูกพรากไป โดยถึงแม้ว่าจะมีผู้คนที่อยู่ในพรีเพียตต่างก็ทยอยกันอพยพ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถอพยพไปได้ในคราวเดียวนั่นก็คือประชากรที่อาศัยอยู่รอบรัศมี 30 กิโลเมตรรอบนอก และนั่นทำให้ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนเป็นมะเร็งและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เพราะการระเบิดครั้งนั้นทำให้เกิดการรั่วไหลของสารซีเซียม-137 ได้ตกค้างอยู่ในระบบนิเวศ และถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมานานร่วม 37 ปี แล้ว แต่กัมมันตภาพรังสีของซีเซียม-137 ยังคงตกค้างอยู่ในปริมาณเกือบเท่าเดิม และนั่นก็ได้ไปหักล้างความรู้เดิมที่ระบุว่าครึ่งชีวิตของมันเท่ากับ 30 ปี (ที่กล่าวไปข้างต้น) แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อมันถูกปล่อยไปอยู่ในสภาพแวดล้อม ครึ่งชีวิตของมันกลับยาวนานถึง 180 – 320 ปีเลยทีเดียว
ทางด้านสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งรัสเซียได้รายงานว่า นับถึงปี 2010 มีคนอย่างน้อย 140,000 ราย ในยูเครนและเบลารุส รวมทั้งอีก 60,000 รายในรัสเซียเสียชีวิตจากโรคที่เป็นผลพวงจากการได้รับสารปนเปื้อนจากการระเบิดครั้งนี้
เรื่องเล่าจากพื้นที่อันตรายเชอร์โนบิลสยอง
หลังจากที่เชอร์โนบิลได้กลายเป็นเมืองร้าง นั่นทำให้พื้นที่บริเวณนั้นทั่วบริเวณมีบรรยากาศที่หลอน วังเวง และน่ากลัวที่สุด แม้ว่าจะเป็นเขตหวงห้ามเพราะในพื้นที่ยังคงมีกัมมันตภาพรังสีตกค้าง แต่ก็มักจะมีคนที่ อยากลองของ แอบเข้าไปอยู่เสมอ บ้างก็เล่ากันว่า บรรยากาศของความวังเวงที่นี่ สัมผัสได้ตั้งแต่หลายกิโลเมตรก่อนเข้าสู่ตัวเมือง บวกกับ 2 ข้างทางมีฟาร์มและบ้านร้างอยู่ให้เห็นเป็นระยะ ๆ
ในตัวเมืองมีเศษขยะและข้าวของที่ถูกทิ้งเรี่ยราดตามถนนทุกสาย 2 ฟากถนนมีตึกรามเรียงรายอยู่พอสมควร รถยนต์หน้าตาโบราณ ๆ ก็มีจอดทิ้งไว้ให้เห็นอยู่หลายคัน บอกให้รู้ว่ามันเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่น้อยเลย แต่บัดนี้มีเพียงความเงียบกับเสียงลม ความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นเมื่อเดินไปตามถนน ราวกับมีสายตาจากที่ใดที่หนึ่งทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง จ้องมองเราอยู่แทบทุกฝีก้าว
สะพานคอนกรีตที่ดูไม่ต่างจากสะพานทั่วไป แต่เมื่อได้ก้าวเท้าเข้าไปบนนั้น ความรู้สึกเยียบเย็นแบบประหลาดๆ เหลือแต่ความเงียบวังเวง หดหู่ ยามใดที่ลมเย็นยะเยือกกระโชกพัด ทั้งเสียงลมและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเครื่องเล่นที่ทำจากโลหะก็ดังสนั่นขึ้น และใบไม้ตามพื้นปลิวว่อนเคว้งคว้างไปตามแรงลม ทำให้ใครที่เข้าไปสัมผัสสถานที่นั้นแล้วไม่อยากอยู่ต่อแม้สักนาที
ความเกี่ยวข้องของเชอร์โนบิลสยองกับทูตสวรรค์มอธแมน
มีเสียงลือกันว่า ในพื้นที่บริเวณของเชอร์โนบิล มีเสียงกระพือปีกเหมือนนกขนาดใหญ่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งหลายคนบอกตรงกันว่าเคยเห็นเจ้าของเสียงที่ว่ามันเหมือนนกปีศาจสีดำขนาดใหญ่มาก บางคนบอกว่าปีกของมันสามารถกางกว้างออกไปได้ตั้ง 20 ฟุต แต่เพียงชั่วแวบเดียวมันก็บินโฉบหายไปเสียแล้ว ผู้คนแถบนั้นหรือพื้นที่นั้นรู้จักมันในชื่อ “Black Bird of Chernobyl” และเชื่อกันว่ามันอาจเป็นผลพวงจากการกลายพันธุ์เพราะกัมมันตภาพรังสี
อย่างไรก็ตาม มีตำนานเมืองตำนานหนึ่งที่เราเพิ่งจะได้ศึกษาไปนั่นก็คือ ทูตสววรค์มอธแมน (Mothman) ที่ได้อธิบายถึงความเป็นได้ระหว่างเหตุการณ์หายนะครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ว่ามันเกิดจากลางสังหรณ์จากเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดนี้มากกว่า
มีรายงานว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุการณ์ มีผู้พบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายกับมอธแมน บินอยู่เหนือโรงงานหลังเกิดระเบิดอีกด้วย ซึ่งมอธแมน (Mothman) ในที่นี้ก็คือ Black Bird of Chernobyl ที่คนในพื้นที่ใช้เรียกกันนั่นเอง
เชอร์โนบิลสยองกลายเป็นมรดกการท่องเที่ยวจากเหตุหายนะ
ถึงแม้ว่าเชอร์โนบิลจะกลายเป็นเขตอันตราย แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปกว่า 20 ปี ระดับความรุนแรงของกัมมันตภาพรังสีค่อย ๆ เบาบางลง ทางการยูเครนจึงเปิดให้เข้าเยี่ยมชมพื้นที่ที่เคยถูกปิดตายในรัศมี 30 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าฯ และมีการจัดโปรแกรมท่องเที่ยวแบบเป็นทางการ ภายใต้มาตรการที่เข้มงวด เช่น การเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ ห้ามออกนอกเส้นทาง หรือห้ามเก็บสิ่งของอะไรติดตัวไป เป็นต้น
ต่อมาในปี 2019 ซีรีส์เรื่อง Chernobyl ของช่อง HBO ก็สร้างปรากฏการณ์การท่องเที่ยวให้เมืองร้างแห่งนี้กลับมาคึกคักมากที่สุดนับตั้งแต่เปิดการท่องเที่ยว โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนนับแสนราย ทำให้จุดประกายให้กับทางการยูเครน ในการเสนอให้ขึ้นทะเบียนเชอร์โนบิลสยองแห่งนี้ เป็นมรดกโลกต่อยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งทางการของยูเครนยอมรับว่าพื้นที่นี้อาจไม่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ที่จะพักอาศัยก็จริง แต่ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียน แวนชมสถานที่แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น และมีสัตว์ป่าหลายชนิดเข้ามาอาศัยอยู่ในอาคารที่ถูกทิ้งร้าง จึงสนับสนุนให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ และช่วยสนับสนุนความพยายามในการอนุรักษ์อาคารเก่าแก่ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
เชอร์โนบิลไม่เพียงมีความสำคัญต่อชาวยูเครนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมวลมนุษยชาติด้วย จึงขอให้ยูเนสโกให้การรับรองในฐานะ “สถานที่แห่งความทรงจำ” เพื่อเตือนภัยพิบัตินิวเคลียร์
เป็นอย่างไรกันบ้างกับอาถรรพ์เชอร์โนบิลสยอง ที่เราชาว Ghostsfolder ได้นำมาฝาก เชื่อกันว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบว่า นอกจากรังสีจากระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองนางาซากิและฮิโรชิมะในสงครามโลกครั้งที่สองที่รุนแรงที่สุดในโลกแล้ว ยังจะมีอุบัติเหตุที่ร้ายแรงกว่านับ 100 เท่า และความน่ากลัวของมันยังคงอยู่เพื่อเตือนให้เราได้จดจำไม่ลืม
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025