ฆาตกรต่อเนื่อง จอห์น บอดกิน อดัมส์ (John Bodkin Adams) หมออายุรแพทย์ชื่อดังที่คร่าชีวิตผู้ป่วยไปถึงมากกว่า 160 ราย เพื่อประโยชน์ส่วนตน ด้วยการการุณยฆาตเหล่าเหยื่อผู้น่าสงสาร จากคราบคุณหมอใจดีสู่ปีศาจร้ายจิตใจโหดหี้ยม วันนี้เราจะพาไปทำความรู้กับหมอผู้เป็นฆาตกรต่อเนื่องกับคดีฆ่าคนไปมากกว่า 160 ราย
ชีวประวัติฆาตกรต่อเนื่อง จอห์น บอดกิน อดัมส์
ดร. จอห์น บอดกิน อดัมส์ (John Bodkin Adams) เป็นแพทย์ในตำแหน่ง General Practitioner หรือแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปในซัสเซ็กซ์ (Sussex) เมืองชายทะเลอีสต์บอร์น(Eastbourne) แพทย์วัยกลางคนที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับว่าเป็นที่รู้จักในฐานะแพทย์ดีเด่น แต่เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นแพทย์ที่มีความเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยสูงอายุที่ไว้วางใจเขา อย่างไรก็ตาม มีแง่มุมอื่น ๆ เกี่ยวกับ ‘วิธีการทำงาน’ ของหมอที่ได้ขึ้นชื่อว่าฆาตกรต่อเนื่อง ได้ก่อให้เกิดความกังวลกับเพื่อนร่วมงานและผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการใช้ยาอันตรายกับผู้ป่วยในการรักษา
และสิ่งที่นักวิจารณ์บางคนได้อธิบายเอาไว้ถึงเรื่องความสนใจทางพยาธิวิทยา (Pathology) ศาสตร์ ที่ว่าเรื่อง การศึกษาการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเมื่อเกิดโรคหรือพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นในร่างกายของคนหรือสัตว์เมื่อเกิดโรค ในการศึกษาเรื่องราวของโรคที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องรู้ถึงสาเหตุและธรรมชาติของโรค รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดตามมาภายหลังการเกิดโรคทั้งทาง กายวิภาคฯ ทางสรีรวิทยา และทางเคมี ซึ่งเป็นหนึ่งในความประสงค์ของหล่าผู้ป่วยของหมอจอห์น
จุดเริ่มต้นของความคิดนักอาชญากรรม ฆาตกรต่อเนื่องที่ขึ้นชื่อว่าหมอ
อีดิธ อลิส มอร์เรล (Edith Alice Morrell) เป็นคนไข้ของหมอจอห์น ซึ่งเธอเป็นผู้ป่วยเป็นโรคอัมพาตบางส่วนของร่างกายหลังจากป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง หมอจอห์นได้จัดหาเฮโรอีนและมอร์ฟีนค็อกเทลให้เธอดื่มและฉีดเพื่อบรรเทาอาการไม่สบาย นอนไม่หลับ และอาการ ‘ระคายเคืองสมอง’ ซึ่งเป็นอาการเจ็บป่วยของเธอ
อย่างไรก็ตาม สามเดือนก่อนที่มอร์เรลจะเสียชีวิตในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 เธอได้เพิ่มประโยคในพินัยกรรมของเธอที่ระบุว่าหมอจอห์นจะไม่รับอะไรเลย แม้ว่าข้อนี้หมอจอห์นดได้มีการยืนยันว่ามอร์เรลเสียชีวิตจากสาเหตุตามธรรมชาติ แต่ยังคงได้รับเงินจำนวนหนึ่ง Cutlery หรือชุดช้อนส้อมและมีดที่ใช้รับประทานบนโต๊ะอาหารแบบตะวันตก และรถยนต์ Rolls Royce หนึ่งคัน ซึ่งเจ้ารถคันนี้มีมูลค่ามากกว่า 30 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน
เหยื่อที่ถูกกล่าวหารายที่สองของฆาตกรต่อเนื่อง ที่ขึ้นชื่อว่าหมอ ไม่ได้มีเปิดเผยตัวจนกระทั่ง 7 ปีหลังจากที่นางมอร์รลเสียชีวิต เกอร์ทรูด บ็อบบี ฮัลเล็ตต์ (Gertrude Hullett) เธอเป็นคนไข้อีกรายของคุณหมอจอห์นที่ล้มป่วยและหมดสติไป แม้จะยังไม่เสียชีวิตในทีแรก แต่หมอจอห์นเองได้โทรหานักพยาธิวิทยาในท้องถิ่น ฟรานซิส แคมป์ส(Francis Camps) เพื่อนัดหมายการชันสูตรพลิกศพ เมื่อหมอแคมปส์รู้ว่าฮัลเล็ตต์ยังมีชีวิตอยู่ เขากล่าวหาหมอจอห์นนั้นว่าเป็นคน ‘ไร้ความสามารถอย่างมาก’
และเมื่อในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 ฮัลเล็ตต์ได้เสียชีวิตลง ทางหมอจอห์นได้บันทึกสาเหตุการตายว่าเป็นผลมาจากเลือดออกในสมอง อย่างไรก็ตามการสืบสวนที่เป็นทางการได้ข้อสรุปว่าเธอฆ่าตัวตาย แต่แคมสป์ได้ให้การแย้งว่าเธอถูกวางยานอนหลับ เช่นเดียวกับมอร์เรล คนไข้ของหมอจอห์นที่ได้รับการรักษาอยู่ก่อนหน้าเธอได้ทิ้งสิ่งของมีค่าหลายรายการให้กับหมอจอห์นรวมถึงรถ Rolls Royce ราคานับหลายสิบล้าน
เรื่องซุบซิบนินทาของหมอจอห์นว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วชุมชนริมทะเลอีสต์บอร์น “ไม่ว่าจะมีความจริงในข้อกล่าวหาที่ว่าหมอจอห์นเป็น ‘ทูตสวรรค์แห่งความตาย‘ ที่ออกล่าเหยื่อของหญิงม่ายผู้มั่งคั่งที่อ่อนแอ หรือเป็น ‘ทูตสวรรค์แห่งความเมตตา‘ ที่กรุณาบรรเทาความทุกข์ยาก ก็ขึ้นอยู่กับการคาดเดา” นั้นทำให้ดูเหมือนว่าการเสียชีวิตของฮัลเล็ตต์ ในปี 1956 ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ต้องนำหมอจอห์นไปสู่ความสนใจของคนหมู่มาก
การจับกุมฆาตกรต่อเนื่องของหมอจอห์นที่เหมือนเป็นผู้ต่อชีวิต แต่กลับผลักให้ลงไปสู่ขุมนรก
ข่าวซุบซิบในเมืองทำให้ตำรวจริ่มดำเนินการสืบสวนและเข้าจับกุมหมอจอห์นในข้อหาฆาตกรรมในที่สุด ข่าวลือไปทั่วรีสอร์ทริมทะเลอันหรูหรา คือเหล่าวีรกรรมของเขา ที่เกลี้ยกล่อมหญิงม่ายผู้มั่งคั่งให้เขียนพินัยกรรมซึ่งทิ้งเงินไว้ให้เขาก่อนที่จะปรุงยาพิษที่อันตรายถึงชีวิต และกำจัดเขาในที่สุด
ข้อกล่าวหาและคำบอกเล่ามาถึงจุดที่ตำรวจท้องที่นั้นแทบไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องสอบสวนเท่านั้น ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนก็จับประเด็นนี้และประกาศออกไปในลักษณะ ‘การพิจารณาคดีโดยสื่อ’ ช่วยเสริมมุมมองที่ว่าหมอจอห์นเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปที่มีความน่ากลัว อีกทั้งยังมีการพาดหัวข่าวหนึ่ง โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ‘Inquiry into 400 wills การสอบสวนพินัยกรรม 400 ฉบับ’ ช่วยโหมกระหน่ำให้เห็นว่าหมอจอห์นอาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องตัวจริง
การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกับคดีของหมอจอห์นที่หลักฐานมัดตัวแน่น
ตำรวจได้ทำการสืบสวนเป็นเวลาหลายเดือนในช่วงปี 1956 จากนั้นในวันที่ 1 ตุลาคมของปีนั้น พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เผชิญหน้ากับหมอจอห์นด้วยความสงสัยเกี่ยวกับการตายของคุณนายมอร์เรล ในคำให้การของเขานั้นแย้งว่าผู้ป่วยของเขานั้น ต้องได้รับการรักษาที่ต้องเจอกับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอย่างมากและต้องการตาย เขาแย้งว่าไม่ใช่อาชญากรรมที่จะบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยระยะสุดท้าย แต่มันเป็นมรดกที่หลงเหลืออยู่ในพินัยกรรมของผู้ป่วยที่ทำให้ตำรวจยังคงสงสัยเกี่ยวกับแรงจูงใจของหมอจอห์น
การพิจารณาคดีของหมอจอห์น ผู้เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ได้รับการพิพากษาว่าผิดจริง
การพิจารณาคดีของเขาได้เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ปี1957 เซอร์เฟรดเดอริก เจฟฟรีย์ ลอว์เรนซ์ (Frederick Geoffrey Lawrence) ผู้ทำหน้าที่เป็นทนายฝ่ายจำเลย ได้ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากคำให้การของพยาบาลที่ดูแลมอร์เรลเป็นหลัก
ปรากฎว่ามอร์เรลได้รับการดูแลตลอด 24 ชั่วโมงโดยทีมพยาบา 4 คน พยาบาลให้การว่าหมอจอห์นเป็นผู้ฉีดยาระงับความเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยในปริมาณที่มากเกินไป เช่น มอร์ฟีนและเฮโรอีน แม้จะรู้สึกตกใจและสงสัยอย่างมากต่อพฤติกรรมนี้ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าในฐานะพยาบาลนั้นพวกเขาทำอะไรได้น้อยมาก
จนกระทั่งทนายฝ่ายจำเลยได้ตรวจสอบพยาบาลคนแรกที่ให้หลักฐานที่น่าสะพรึงกลัว กล่าวว่าลอว์เรนซ์ได้ข้อมูลจากเธอว่าการฉีดยาทั้งหมดให้มอร์เลล์ ได้รับการบันทึกไว้อย่างละเอียดในสมุดจด พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับอาการของเธอในทุกขั้นตอนระหว่างที่เธอป่วย ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นการปฏิบัติมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ลอว์เรนซ์ได้ค้นพบว่า หลักฐานอย่างสมุดบันทึกไม่ได้มีเพียงหนึ่งเล่ม แต่มีถึงแปดเล่ม ซึ่งการสืบสวนของตำรวจนั้นมีการมองข้ามไป พวกเขาได้พิสูจน์ว่ามีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อมอร์เรลเป็นเวลาหลายปีก่อนที่เธอจะเสียชีวิต พยาบาลเองก็เขียนในนั้นด้วย และระหว่างการตรวจสอบบันทึกก็พบว่ามันไม่สัมพันธ์กับหลักฐานทางวาจาในชั้นศาล
.
เป็นไปได้ไหมที่นางพยาบาลเหล่านี้ปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูงจากข่าวซุบซิบที่แพร่สะพัดไปทั่วเมือง?
.
หมอจอห์นยังได้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่ามีพยานทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพียงหนึ่งในสองคนของอัยการเท่านั้น ที่พร้อมจะบอกว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจริง ลอว์เรนซ์ยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่พยานที่เชื่อถือได้ แต่ทนายของหมอจอห์นสามารถทำให้พยานแหล่านั้นไม่ต้องไปปรากฏตัวในชั้นศาลเพื่อเป็นพยานได้ และด้วยเหตุนี้อง จึงไม่อนุญาตให้นำหลักฐานจากคดีของ เกอร์ทรูด ฮัลเล็ตต์ รวมถึงคำให้การของพยาบาล มาแสดงต่อศาล
โดยพยาบาลคนนี้ เคยร่วมงานกับหมอจอห์นขณะเข้ารับการรักษากับฮัลเล็ตต์ในเดือนกรกฎาคม ปี 1956 ได้กล่าวหาว่ากล่าวกับเขาว่า ‘คุณรู้ไหม คุณหมอ คุณได้ฆ่าเธอ?’
.
แต่ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1957 คณะลูกขุนใช้เวลาเพียง 45 นาทีในการพิจารณาว่าอดัมส์ไม่มีความผิด
บทสรุปคดีฆาตกรรม ฆาตกรต่อเนื่อง หมอจอห์นที่ให้การการุณยฆาตกับผู้ป่วยตัวอง
ในกรณีของดร. จอห์น บอดกิน อดัมส์ เป็นกรณีที่มีการโต้เถียงกันอย่างมาก เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าแพทย์ทั่วไปไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาฆาตกรรมหรือความประมาทเลินเล่อในวิชาชีพ อย่างไรก็ตาม หลายปีหลังจากการตายของเขาเอง ยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ว่าหมอจอห์นมีความผิดฐานฆาตกรรมหรือไม่แต่สำหรับบางคน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวพ่อของนายแพทย์แฮโรลด์ ชิปแมน (Harold Shipman) ฆาตกรต่อเนื่องทางการแพทย์ ในขณะที่บางคนเชื่อว่าหมอจอห์นเพียงแค่ลงมือฆ่าอย่างมีเมตตาในช่วงเวลาที่ยาแก้ปวดกำลังหมดฤทธิ์ลง ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะบรรเทาความทุกข์ทรมานของเหล่าผู้ป่วยได้
อย่างไรก็ตาม เราองก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่า ฉายาฆาตกรต่อเนื่องนั่นจะเหมาะกับเขามากน้อยเพียงใด เพราะในสมัยนั้นการการุณยฆาตเป็นเรื่องที่ยังไม่ถูกกฏหมายเท่าไหร่นัก และทางการสืบสวนสอบสวนคดีเอง สิ่งที่หมอจอห์นได้รับผลประโยชน์จากเหล่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาก่อนจะเสียชีวิต เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่าขาลงมือฆาตกรรมจริง
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ A Stranger in Blood : The Story of Dr Bodkin Adams และ murderpedia.org
.
สามารถติดตามเรื่องราวคดีฆาตกรรม เรื่องผีและเรื่องเล่าสยองขวัญที่น่าสนใจได้ที่ ghostsfolder
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025