ไขปริศนาแวมไพร์

ไขปริศนาแวมไพร์ สืบค้นหลุมศพแวมไพร์ ยุคศตวรรษที่ 19

หัวข้อน่าสนใจ

จากรายงานล่าสุดของทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามค้นคว้าเรื่องราวเบื้องหลังของศพ ‘แวมไพร์’ ซึ่งโดนฝังไว้ในพื้นที่รกร้างของรัฐคอนเนคติกัตหลายร้อยปี ตลอดจนกระทั่งมีคนมาขุดเจอศพนี้อีกครั้งในช่วงทศวรรษที่ 1990 วันนี้ชาวโกสต์โฟลเดอร์จะมาไล่ทามไลน์และจุดเริ่มต้น ร่วมกันไขปริศนาแวมไพร์ไปพร้อม ๆ กันค่ะ

จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าแวมไพร์ ‘จอห์น บาร์เบอร์’

ไขปริศนาแวมไพร์ ยุคศตวรรษที่ 19

เรื่องราวเริ่มต้นจาก “จอห์น บาร์เบอร์” (John Barber) อายุราว 55 ปี ในตอนที่เขาเสียชีวิต ได้มีการฝังศพของเขารอบแรกในเมืองกริสโวลด์ รัฐคอนเนคติกัตในศตวรรษที่ 19 แต่เมื่อมีการพบศพของเขาในอีก 150 ปีต่อมา กลับพบว่า ร่างของเขามีร่องรอยของการตัดคอ และนำกะโหลกศีรษะกับกระดูกต้นขาของเขามาวางไว้ในลักษณะไขว้กันตรงลำตัวช่วงที่เป็นซี่โครง ดูแล้วคล้ายสัญลักษณ์หัวกะโหลกพร้อมกระดูกสองท่อนที่ไขว้กันเป็นรูปกากบาทอยู่ด้านล่าง

จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าแวมไพร์ 'จอห์น บาร์เบอร์'
จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าแวมไพร์ ‘จอห์น บาร์เบอร์’

โครงกระดูกของบาร์เบอร์ เป็นปริศนาใหญ่ที่ท้าทายนักวิจัยจำนวนมาก นับตั้งแต่มีการขุดค้นพบ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เทคโนโลยีการวิเคราะห์ดีเอ็นเอได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก มันได้มีส่วนช่วยให้นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัยพบข้อมูลที่เป็น “เบื้องหลัง” โครงกระดูกของชายผู้ที่โดนกล่าวหาว่าเป็น “แวมไพร์” หรือผีดูดเลือดรายนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถหาจุดเห็นพ้องต้องกันได้ว่า ทำไมจึงมีคนจัดวางโครงกระดูกของเขาไว้ในลักษณะเช่นนั้น

โครงกระดูกของบาร์เบอร์ เป็นปริศนาใหญ่ที่ท้าทายนักวิจัยจำนวนมาก
โครงกระดูกของบาร์เบอร์ เป็นปริศนาใหญ่ที่ท้าทายนักวิจัยจำนวนมาก

การค้นพบเศษซากร่างของบาร์เบอร์ เริ่มในยุคทศวรรษที่ 1990

การค้นพบเศษซากร่างของบาร์เบอร์ เริ่มในยุคทศวรรษที่ 1990 จากการที่มีเด็กคนหนึ่งที่ไปเห็นหัวกะโหลกในบริเวณใกล้เหมืองหินเก่า เมื่อเรื่องไปถึงตำรวจ ก็มีการกั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบ

แต่เดิมบริเวณดังกล่าวถือว่าเป็นพื้นที่สุสานอยู่ก่อนแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นก็เชื่อว่ากระดูกที่พบน่าจะเป็นเหยื่อสังหารของฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังในท้องที่ที่ชื่อว่า ‘ไมเคิล รอสส์’ ซึ่งฆ่าเด็กหญิงและหญิงสาวไปถึง 8 ราย ระหว่างปี ค.ศ. 1981 – 1984 ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ระบุได้ว่า กระดูกที่พบในครั้งนี้มีอายุเก่าแก่เกิน 100 ปี นอกจากนี้ ทางการยังค้นพบหลุมศพอื่น ๆ ที่ถูกฝังอยู่ในบริเวณเดียวกันถึง 29 หลุม ซึ่งเป็นศพจากยุคศตวรรษที่ 18 – 19

การค้นพบเศษซากร่างของบาร์เบอร์ เริ่มในยุคทศวรรษที่ 1990
การค้นพบเศษซากร่างของบาร์เบอร์ เริ่มในยุคทศวรรษที่ 1990

ในบรรดาศพเหล่านี้ มีอยู่ศพเดียวที่โดดเด่นออกมา เพราะมีการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนหัวกะโหลกกับกระดูกต้นขา ซึ่งทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า ศพนี้น่าจะเป็นของบุคคลที่คนในยุคนั้นเชื่อว่าเป็น “แวมไพร์” ทางด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การจัดวางกะโหลกศีรษะและกระดูกต้นขาเสียใหม่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น เป็นไปตามความเชื่อว่า หากทำเช่นนี้ ศพดังกล่าวจะไม่สามารถลุกขึ้นเดินไปมาและทำร้ายคนเป็นได้

บาร์เบอร์ คือ “แวมไพร์แห่งคอนเนคติกัต”

ก่อนหน้าที่บาร์เบอร์จะได้รับการขนานนามว่าเป็น “แวมไพร์แห่งคอนเนคติกัต” เขามีชื่อเรียกเป็นเพียงแค่หมายเลขรหัสว่า ‘เจบี55’ เนื่องจากมีการค้นพบตัวอักษรย่อ ‘เจบี’ สลักไว้ในหมุดทองเหลืองที่ซึ่งใช้ตอกปิดโลง ในเวลาต่อมา จึงได้มีการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ดีเอ็นเอ จับคู่ทางพันธุกรรมกับผู้ที่น่าจะเป็นญาติของเขา จนกระทั่งได้ชื่อที่แท้จริงของเขาออกมาในปี ค.ศ. 2019 ว่า ‘จอห์น เบเคอร์’ ซึ่งเขาเสียชีวิตในท้องที่เมื่อปี ค.ศ.​ 1826 ตอนอายุได้ 55 ปี โดยมีสาเหตุมาจากป่วยเป็นวัณโรค

บาร์เบอร์ คือ “แวมไพร์แห่งคอนเนคติกัต”
บาร์เบอร์ คือ “แวมไพร์แห่งคอนเนคติกัต”

เบเคอร์ เป็นเพียงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง แต่เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว เขากลับถูกมองว่าได้กลายเป็น “แวมไพร์” ซึ่งอาจมาจากลักษณะของเขาระหว่างป่วย ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นวัณโรคนั้นจะมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว เนื้อตัวซีดหรือผิวหนังกลายเป็นสีเทา ไอจามเป็นเลือด ซึ่งนับว่าเป็นอาการที่น่าสยดสยองสำหรับผู้คนที่พบเห็นในยุคนั้น

ไขปริศนาแวมไพร์ : สรุปแล้วแวมไพร์คืออะไรกันแน่ ?

“แวมไพร์” ในความหมายของนักโบราณคดีนั้นเป็นคนละเรื่องกับ “แวมไพร์” แบบที่เรารู้จักผ่านทางภาพยนตร์หรือซีรีส์ และจากการค้นคว้าวิจัยทั่วโลกพบว่า หลายประเทศ หลายวัฒนธรรม มีเรื่องราวและความเชื่อเกี่ยวกับการกลับมาของคนตายเพื่อมาหลอกหลอนคนเป็น และด้วยเหตุนี้จึงมีพิธีกรรมในการทำศพที่มุ่งหมาย “สะกด” คนตายเอาไว้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝังศพโดยใส่หินไว้ในปาก การวางเคียวพาดคอศพเอาไว้หรือกระทั่งการตรึงศพในโลงไว้ด้วยตะปู

สรุปแล้วแวมไพร์คืออะไรกันแน่ ?
สรุปแล้วแวมไพร์คืออะไรกันแน่ ?

นักโบราณคดีพบว่า บ่อยครั้งที่พิธีการฝังศพที่ “ไม่ปกติ” เหล่านี้สื่อนัยเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ในท้องถิ่น ซึ่งนี่อาจเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนที่เรียกว่า “นิวอิงแลนด์” ของสหรัฐซึ่งประกอบด้วย 6 รัฐคือ เมน, เวอร์มอนต์, นิวแฮมป์เชียร์, แมสซาชูเซตต์, คอนเนคติกัตและโรดไอส์แลนด์ ในยุคศตวรรษที่ 19 ในช่วงเวลา 200 ปีหลังจากยุค “ล่าแม่มด” ในท้องที่ดังกล่าว

โครงกระดูกของเบเคอร์ไม่ใช่ซากของแวมไพร์เพียงหนึ่งเดียวที่มีการค้นพบในท้องที่ นักโบราณคดียังกล่าวถึงเรื่องของครอบครัวเรย์ซึ่งเป็นครอบครัวชาวนาครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกเสียชีวิตจากวัณโรคหลายราย พวกเขาถูกกล่าวหาว่า “ติดเชื้อ” มาจากแวมไพร์ จากรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ยุคนั้นระบุว่า ศพของผู้เสียชีวิตของครอบครัวนี้โดนเผาทำลายทั้งหมด นอกจากนี้นักโบราณคดียังชี้ว่า การกระทำดังกล่าวนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงหรือผิดเพี้ยน เพราะในยุคสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่ายุคนี้ ถ้าหากมีโรคระบาดหรือมีพืชพันธุ์เสียหายที่ทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก ก็จะตัดตอนด้วยการเผาทันที

อย่างไรก็ตาม มีผู้เห็นแย้งว่าการฝังศพของเบเคอร์ไม่น่าจะใช่การฝังศพแวมไพร์ตามความเชื่อดั้งเดิม

ไขปริศนาแวมไพร์กับความเชื่อทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

‘มัตเตโอ บอร์รินิ’ นักนิติมนุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยจอห์น มัวร์ส์ แห่งเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ระบุว่า กระแสความเชื่อในเรื่องแวมไพร์นั้นมีถึงจุดสูงสุดในช่วงศตวรรษที่ 14 – 18 ดังนั้น ศพของเบเคอร์น่าจะเป็นการทำตามความเชื่อในยุคหลังมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น คนในยุคที่หวาดกลัวแวมไพร์จะจัดวางศพเสียใหม่ในระหว่างที่ศพยังมีการเน่าเปื่อยเท่านั้น ขณะที่การจัดวางศพของเบเคอร์ ดูเหมือนจะทำตอนที่เหลือแต่โครงกระดูกแล้ว

ไขปริศนาแวมไพร์กับความเชื่อทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ไขปริศนาแวมไพร์กับความเชื่อทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่นับว่า โครงกระดูกของเบเคอร์เป็นซากของ “แวมไพร์” ตามความเชื่อเดิม แต่เป็นการจัดวางศพที่ผิดเพี้ยนโดยหวังผลในเชิงพิธีกรรมเร้นลับเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือเป็นเพราะการขาดความเข้าใจในเรื่องโรคและอาการเจ็บป่วยมากกว่าจะเป็นการฝังศพตามความเชื่อเรื่องแวมไพร์

และนี่คือเรื่องราวการสบค้นหลุมศพของแวมไพร์จากยุคศตวรรษที่ 19 เพื่อร่วมกันไขปริศนาแวมไพร์ เพื่อน ๆ มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ? สามารถมาพูดคุยกันได้ค่ะ และพบกับบทความที่น่าสนใจได้ที่