หากเราพูดถึงคดีฆาตกรรมดัง ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเราคงติดหล่มคดีของน้องจุนโกะ เพราะเป็นคดีที่ค่อนข้างมีความรุนแรงและสะเทือนขวัญไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายกรณีที่น่ากลัวไม่แพ้กัน ในวันนี้เราจึงอยากจะมาแบ่งปันเรื่องราวจากฆาตกรต่อเนื่องที่สามารถนำมาเป็นบทเรียนชีวิตได้ โดยคน ๆ นั้นก็คือ “ซาทาโร ฟูกิอาเกะ” หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น
“The poor forget hunger with sexual pleasure.” – Serial Girl Murder-Solitary Demon | Fukiage Satarō
casinovega casinovega.co เสือมังกรออนไลน์ ไพ่เสือมังกรออนไลน์ เสือมังกร ออนไลน์ เสือ มังกร ออนไลน์ เว็บเสือมังกร บาคาร่าเว็บตรง sa casino online casino sa sa1688 บาคาร่า sa casino เข้าสู่ระบบ ป๊อกเด้งออนไลน์ ได้เงินจริง ป๊อกเด้งได้เงินจริง เล่น ป๊อก เด้ง ได้ เงิน จริง แบล็คแจ็คออนไลน์ โปรบาคาร่า ฝากประจำ bk8 ดีไหม เบทฟิก898 mgs888 mgs888.vip juth88 โปรโมชั่นเครดิตฟรี สมัคร-juth88 faw99 เครดิตฟรี บาคาร่าเครดิตฟรี เครดิตฟรีบาคาร่า บาคาร่าสดชีวิตวัยเด็กของ ‘ซาทาโร ฟูกิอาเกะ’ ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดกับปูมหลังสุดเลวร้าย
ซาทาโรเกิดในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2431 เขาเป็นลูกคนโตและครอบครัวฟูกิอาเกะก็เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ซึ่งมีลูกถึงหกคนอาศัยอยู่ในบ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และนั่นทำให้เรื่องของอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ซาทาโรเองก็มักจะเข้านอนด้วยความหิวโหย เขานอนในห้องเล็ก ๆ กับพ่อแม่และพี่น้อง ดังนั้นถึงไม่แปลกหากเขาจะได้ยินและเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กันบ่อย ๆ
ซาทาโรตอนอายุ 9 ขวบ ได้ถูกส่งให้ไปเป็นคนรับใช้ร่วมกับครอบครัวช่างทอผ้า ในทีแรกเขาเองก็มีความสุขดีเพราะเขาได้รับอาหาร 3 มื้อต่อวัน แต่ต้องแลกกับการทำงาน 18 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้ต้องโดนถูกทุบตีเพราะเอาแต่สัปหงกระหว่างทำงาน นอกจากนี้ยังถูกจับได้ว่าขโมยเงิน จึงถูกไล่ออก อย่างไรก็ดี ซาทาโร ฟูกิอาเกะ ยังคงถูกส่งไปหางานทำในฐานะคนรับใช้ หากไม่หนีงานก็โดนไล่ออกเพราะนิสัยขี้ขโมยของเขา นอกจากนี้เขายังถูกไล่ออกอีกครั้ง เมื่ออายุ 11 ปีที่บ้านของครอบครัวหนึ่งเมื่อเขาถูกจับได้ว่านอนกับสาวใช้อายุ 17 ปี ต่อมาเมื่อเขาอายุ 13 ปี เขาเคยขโมยเงินจากครอบครัวหนึ่งที่เขาทำงานอยู่อีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกจับได้ เลยถูกส่งไปยังเรือนจำเกียวโต
ซาทาโร ฟูกิอาเกะ ฆาตกรต่อเนื่องกับชีวิตคุกตอนวัยรุ่น
ถึงแม้ว่าซาทาโร่จะดูเป็นเด็กที่ค่อนข้างมีปัญหา แต่การอยู่ในคุกของเขาไม่เคยมีปัญหาเลย ทั้งเพื่อนร่วมห้องขังของเขาเองก็สอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาญี่ปุ่นให้เขา อีกทั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนเช่นกัน หลังจากอยู่ในคุกหนึ่งปี เขาได้รับการปล่อยตัวและไปโอซาก้า ในช่วงเวลานี้เองเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ครอบครัวของเขาถูกไล่ออกจากบ้าน กลายเป็นเร่ร่อนขอทานทั่วญี่ปุ่น เนื่องจากเขาไม่มีเงินทุนที่จะหางานทำงาน ทำให้เขาเองก็อยากกลับเข้าไปอยู่ในคุก เลยตัดสินใจสั่งอาหารแล้วออกจากร้านอาหารโดยไม่จ่ายเงิน ทำให้เขาถูกตำรวจจับและส่งไปยังศูนย์ฟื้นฟู แต่ศูนย์ฟื้นฟูแห่งนั้นถูกควบคุมโดย แก๊งยากูซ่าและสมาชิกแก๊งหลายคน ซึ่งใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมและรับสมัครสมาชิก ทำให้ซาทาโรได้เรียนรู้การเป็นโจรอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะวิธีล้วงกระเป๋า ขโมยของหรือวางตัวให้เป็นนักต้มตุ๋น
เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้ตัดสินใจที่จะปล้นสถานที่ต่าง ๆ ทั้งขโมยของในร้านและเก็บเงินเพื่อที่เขาจะได้ซื้อที่อยู่อาศัยให้ครอบครัวของเขา แถมเขายังสามารถซื้ออุปกรณ์เพื่อให้พ่อของเขากลับไปทำงานได้ สมัยที่ฆาตกรต่อเนื่องอย่างซาทาโรเป็นโจร เขาได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงหลายคน บางคนก็ยินยอม บางคนก็ไม่ยินยอมหรือเรียกว่าข่มขืน บางทีก็ไปหลงรักเด็กหญิงอายุ 13 ปี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลงเมื่อครอบครัวของเธอย้ายออกไป นอกจากนี้เขายังมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอายุ 20 ปี แต่ทิ้งเธอไปเมื่อเขากลับมาที่บ้านเกิด หลังจากกลับไปอยู่ที่แถบบ้านเกิด เขาก็ถูกจับได้อีกครั้งด้วยข้อหาข่มขืนลูกสาวของเพื่อนบ้าน เป็นผลพวงมาจากการเริ่มอาศัยอยู่กับหญิงสาววัย 50 ปี ไม่เพียงเท่านั้น เขายังล่วงละเมิดทางเพศลูกสาววัย 11 ขวบของเธออีกด้วย
การฆาตกรรมครั้งแรกของซาทาโรก่อนจะผันตัวเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2449 เมื่อเขาอายุ 17 ปี เขาได้พบกับเด็กหญิงอายุ 11 ปีที่เขารู้จักตั้งแต่เด็กใกล้กับวัดคินคะคุจิ เขาชวนเธอไปจับตั๊กแตนบนภูเขาด้วยกันและเธอก็ตกลง ซาทาโรได้ล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาว จากนั้นใช้ผ้าขนหนูรัดคอเธอจนเสียชีวิต เมื่อตำรวจถามว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจฆ่าผู้หญิงคนนี้ เขาบอกพวกเขาว่าเขากลัวว่าจะถูกจับได้ตั้งแต่เธอรู้จักเขา
หลังจากเกิดคดี ซาทาโรคิดจะหลบหนีไปยังจังหวัดกุมมะ แต่เขาไม่มีเงินจึงถูกนักสืบจับตัวได้ก่อนที่เขาจะหลบหนีได้ ทำให้เขาถูกตั้งข้อหาและตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมเด็กหญิงและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ฝ่ายจำเลยของเขาอุทธรณ์คำตัดสิน แต่ก็ถูกยกฟ้อง
การอาละวาดของ ซาทาโร ฟูกิอาเกะ คดีฆ่าข่มขืนนับร้อย
แม้ว่าตัวของซาทาโรจะพยายามหลบหนี แต่ตำรวจก็ยังสามารถแกะรอยจนจับกุมเขาได้และส่งเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สามได้อีกครั้ง ทำให้เขาติดคุกอยู่เพียง 15 ปี และพ้นโทษเมื่อต้นปี พ.ศ. 2465 ระหว่างที่อยู่ในคุก เขาหมกมุ่นอยู่กับหนังสือ ปรัชญา ศาสนา และหัวข้อวิชาการต่าง ๆ เมื่อได้รับการปล่อยตัวเขาพยายามหางานทำและใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ แต่เขาถูกไล่ออกจากงานหลายงานเพราะมีประวัติอาชญากรรมหรือมีเรื่องกับผู้หญิง
ในปี พ.ศ. 2465 เขาถูกจับได้ว่าพยายามลวนลามเด็กหญิงอายุ 4 ขวบ แต่คดีถูกยกฟ้องเพราะหลักฐานในคดีนี้มีน้อยเกินไปจนไม่สามารถนำมาฟ้องต่อศาลได้ หลังจากตกงานและร่อนเร่ไปทั่วเมือง เขาเริ่มหงุดหงิดกับชีวิตมากขึ้นและชอบใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงมากขึ้น เขาพบเด็กสาวอายุ 16 ปีเดินอยู่ใกล้ปราสาทนาโกย่าและทำร้ายเธอ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 ในช่วง 10 เดือน เขาข่มขืนทั้งผู้หญิงและเด็กผู้หญิง แถมยังลงเอยด้วยการฆ่าพวกเธออย่างน้อยหกคน
- ในเดือนมีนาคม ‘เคอิ มิซูโนะ’ สาวใช้วัย 16 ปีในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในไซตามะถูกทำร้ายและพบว่าเสียชีวิต
- ในเดือนเมษายน ‘จิโยะ คาโตะ’ อีกคนอายุ 16 ปีถูกฆ่าตายบนภูเขาของ Gunma
- ในเดือนมิถุนายน เด็กหญิงวัย 12 ปีชื่อ ‘ฮัตสึ วาคางิ’ ถูกพบว่าถูกทำร้ายและเสียชีวิตในทุ่งหม่อนในจังหวัดกุมมะ
- ในเดือนสิงหาคม ‘คิจิ โคบายาชิ’ เด็กหญิงอายุ 14 ปี ก็ถูกรัดคอและทิ้งไว้ในพุ่มหม่อนในนากาโนะ
- ในเดือนกันยายน มีการพบเด็กหญิงอายุ 13 ปีถูกฆ่าตายบนภูเขาชิบะ
จุดจบและจุดเริ่มต้นของ ซาทาโร ฟูกิอาเกะ สู่นักเขียนหนังสืออาชญากรรม
เขาถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2469 สื่อรายงานว่าเขาไปตายอย่างมีเกียรติซึ่งแตกต่างจากนักโทษหลายคน โดยซาทาโรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังและเก่าแก่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง
“One yen to buy nourishment is better than one yen to buy medicine.”
เมื่ออายุได้ 36 ปี เขาถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2467 และถูกนำตัวไปที่กรมตำรวจนครบาลโตเกียวพร้อมสอบสวน เดิมทีเขายอมรับว่าเขาเองนั่นได้กระทำการข่มขืนเด็กผู้หญิงหลายร้อยคนและฆ่า 13 คน แต่ต่อมาเขาปฏิเสธและบอกว่าเขาฆ่าเพียงหกคนเท่านั้น ซาทาโร่บอกกับตำรวจว่า “ฉันไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์ที่น่ารื่นรมย์มาตลอดชีวิต มีเพียงวันที่มืดมนเท่านั้น ฉันเคยทำสิ่งเลวร้ายจนคิดว่ามันหายากในโลก ฉันจึงจำเรื่องราวทั้งหมดได้ไม่ชัดเจน” ท้ายที่สุด ซาทาโรได้ถูกพิจารณาคดีเพียง 3 กระทงจากข้อหาข่มขืนและฆาตกรรม และถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินประหารชีวิต หลังจากคำตัดสิน เขาตะโกนใส่ผู้พิพากษาด้วยความโกรธว่า “ฉันฆ่าไปหกคนจริง ๆ”
ต้นฉบับความยาว 3,000 หน้าที่มี เรื่องราวชีวิตของเขา ความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคม และข้อความถึงพ่อแม่ของเด็กรวมอยู่ในหนังสือชื่อ Shabu ซึ่งแปลว่า The Street ในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ฆาตกรต่อเนื่องอย่างซาทาโรได้ถูกตัดสินประหารชีวิต เขายื่นอุทธรณ์ในวันรุ่งขึ้น แต่ผู้พิพากษาปฏิเสธคำอุทธรณ์ของเขา
“ฉันอยากจะเขียนและเผยแพร่อัตชีวประวัติที่ฉันกำลังเขียนอยู่ตอนนี้ ฉันต้องการเวลาดำเนินการ ดังนั้นฉันจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลยุติธรรม ฉันไม่ได้พยายามที่จะหลบหนีบาปของฉัน ทันทีที่อัตชีวประวัติเสร็จสิ้น การอุทธรณ์จะถูกถอนออก” หลังจากเสียชีวิต แม้ว่าหนังสือของเขาจะได้รับการตีพิมพ์ แต่ก็ถูกห้ามจำหน่าย โดยในหนังสือเล่มนี้ เขาได้ทิ้งแนวทางไว้ 5 ข้อที่เขารู้สึกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและจะหยุดผู้คนไม่ให้เป็นเหมือนเขาและยอมจำนนต่อความชั่วร้าย นี่คือคำแนะนำ 5 ข้อของเขาต่อผู้ปกครอง
- อย่าปล่อยให้ลูกของคุณรู้สึกไม่สบายหรือกังวล
- พยายามให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด
- พยายามเล่นกับลูก ๆ ของคุณให้มากที่สุดและให้ความสนใจกับพวกเขาให้มาก
- หากพ่อแม่รู้สึกขอบคุณสำหรับลูกๆ ของพวกเขา บ้านก็สามารถเป็นที่ที่สนุกสนานได้
- หลีกเลี่ยงการทำสิ่งลามกอนาจารหรือน่ารังเกียจต่อหน้าลูก
เป็นอีกหนึ่งเคสที่เราค่อนข้างสนใจมากเลยทีเดียวเพราะเรื่องราวมันอธิบายคำว่าฆาตกรต่อเนื่องของ “ซาทาโร ฟูจิอาเกะ” ได้เป็นอย่างดีผ่านหนังสือชีวประวัติของเขา และนั่นทำให้เรารู้เลยว่า แท้จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นปีศาจอย่างที่ใคร ๆ ก็กล่าวถึง แต่เป็นเพียงบุคคลที่อยากจะมีชีวิตรอดในสภาพที่ถูกบีบบังคับ ไม่ว่าจะฐานะทางการเงิน สังคมและครอบครัว เขากลับมีปัญหานทุกภาคส่วน ที่สำคัญสิ่งที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องอย่างที่เราพูด ๆ กัน ก็คงเป็นชีวิตในวัยเด็กที่เขาแค่ต้องยอมทำงานหาเงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัว แต่ท้ายสุดท้ายแล้วผลพวงที่ได้ไม่คุ้มเสีย ก่อกำเนิดความชั่วร้ายที่เราไม่สามารถคาดเดาได้
ขอขอบคุณ kumparan.com / s-a-ozbourne.medium.com / murderpedia.org
สามารถติดตามอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจได้ที่ ghostsfolder