Weapons ผลงานชิ้นโบว์แดงของผู้กำกับหนังสยองขวัญรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง Zach Cregger ผู้เคยฝากผลงานชิ้นเอกอย่างเรื่อง Barbarian (2022) ที่กวาดทั้งรายได้และคำวิจารณ์เชิงบวกอย่างล้นหลาม Weapons เป็นผลงานใหม่ล่าสุดที่มาธีมเดียวกันกับเรื่อง Barbarian ให้ฟีลเดียวกัน แต่เล่นท่ายากกว่า มีสตอรี่ไลน์แตกต่างจากบาบาเรียนโดยสิ้นเชิง
เมื่อเด็กทั้ง 17 คนวิ่งหายไปในความมืด โดยไม่กลับออกมาอีก
เรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้น ณ เมืองเมย์บรูค รัฐเพนซิลเวเนีย เมืองเล็ก ๆ ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันหนึ่งนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทั้ง 17 คนวิ่งออกจากบ้านพร้อมกันเวลา 2.17 น. และไม่กลับออกมาอีกเลย “จัสติน แกนดี้ (Julia Garner) ครูประจำชั้นของพวกเขา ถูกตราหน้าว่ามีส่วนรู้เห็นกับการหายตัวไปของเด็ก ๆ
ในห้องเรียนมีเพียง “อเล็กซ์ ลิลลี่ (Cary Christopher)” เด็กชายเพียงคนเดียวของห้อง ที่ไม่ได้หายตัวไปพร้อมเพื่อนร่วมชั้น การหายตัวปริศนาของเหล่าเด็กยังคงสร้างความสับสนและโกรธแค้นของเหล่าผู้ปกครอง พวกเขาตราหน้าว่าเธอคือแม่มดที่ลักพาตัวลูก ๆ ของพวกเขา
มีเพียงบ้านเดียวที่พบหลักฐานจากกล้องวงจรปิดหน้าบ้านว่า ลูกชายของเขาวิ่งออกจากบ้านตอน 2.17 ด้วยท่าทางกลางแขนคล้ายนกบิน วิ่งตรงไปยังป่าทึบ และไม่กลับมาอีกเลย นั่นทำให้เขาพยายามสืบหาเบาะแสว่าลูกเขาหายไปไหน ใครเป็นคนทำเรื่องประหลาดเช่นนี้
Weapons ให้บรรยากาศคล้ายบาบาเรียน แต่เล่นท่ายากกว่า
หากใครที่เคยดูเรื่องบาบาเรียน (2022) แล้วรู้สึกชอบเรื่องนั้น คุณจะต้องชอบเรื่อง Weapons ล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะโทนและเนื้อเรื่องมาแนวเดียวกันเลย ต่างกันตรงเวเพินส์เล่นท่ายากกว่า ด้วยการเล่าเรื่องแบบ Multiple Storylines
องค์แรกของเรื่อง เปิดด้วยสตอรี่ของครูจัสตินที่ต้องถูกพักงาน และต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เมื่อเธอถูกผู้ปกครอง และคนทั้งเมืองมองว่าเธอคือแม่มด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเด็ก ๆ เธอถูกด่าทอ ข่มขู่ด้วยข้อความ และการทำร้ายร่างกายอย่างไม่ยุติธรรม เช่น ถูกรบกวนตอนกลางคืน โดยทำร้ายร่างกาย การเขียนข้อความเชิงกล่าวหา
หนึ่งในตัวละครสำคัญอย่าง “อาร์เชอร์ กราฟฟ์ (Josh Brolin)” หนึ่งในผู้ปกครองเด็กที่หายตัวไป เขามีเพียงหลักฐานเดียว คือ กล้องวงจรปิดหน้าบ้านที่เห็นว่า ลูกชายของเขาวิ่งออกจากบ้านไปในความมืด เขาพยายามวางแผนทุกวิถีทางเพื่อสืบว่าลูกชายเขาวิ่งไปที่ไหน
“อเล็กซ์ ลิลลี่” เด็กชายเพียงคนเดียวของห้องที่ไม่ได้วิ่งหายตัวไปเหมือนเพื่อนร่วมชั้น ในภาพยนตร์บอกเล่าปูมหลังก่อนจะค่อย ๆ เฉลยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด นอกจากนี้ ตัวหนังยังเล่าเส้นเรื่องของตัวละครสำคัญอย่าง “พอล มอร์แกน” นายตำรวจในพื้นที่ และ “เจมส์” ตีนแมวติดยาที่เห็นเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับเด็ก ๆ
ตัวหนังแบ่งเล่าเรื่องเป็นพาร์ทของแต่ละตัวละคร ซึ่งท้ายสุดแล้ว เรื่องราวของทุกตัวละครจะมาบรรจบกัน ณ จุดที่จะเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมด การเล่าเรื่องแนวนี้อาจจะไม่ได้สดใหม่ แต่ก็ไม่น่าเบื่อ ดูเพิ่มมิติให้ตัวภาพยนตร์ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
สัญญะที่สะท้อนความเชื่อในเรื่อง Weapons
หากใครมีโอกาสไปดู Weapons มาแล้ว คงจะจำฉากองค์แรกของเรื่อง หลังจากที่ครูจัสตินถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเด็กในชั้นเรียน คืนนั้นมีคนมีเคาะประตูบ้านเธอ พอตื่นเช้ามา พบว่ารถของเธอถูกคนพ่นสีแดงว่า Witch มีความหมายว่า “แม่มด” มันสะท้อนให้เห็นว่า ตอนนี้เหล่าผู้ปกครอง คนในโรงเรียน และคนในเมืองเมย์บรูคมองว่าเธอคือแม่มด
ความเชื่อเรื่องแม่มดที่อาจจะต้องย้อนกลับช่วงยุคกลาง หรือ ประมาณ ค.ศ. 1692 ไป เป็นยุคที่ความรู้ด้านชีววิทยา วิทยาศาสตร์ และจิตวิทยายังไม่ก้าวหน้ามากนัก “แม่มด” จึงถูกจับมาเชื่อมโยงกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึง เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น เช่น หากพื้นที่ไหนมีเหตุการณ์แปลกประหลาดหรือเรื่องวิปริตเกิดขึ้น พวกเขาเชื่อว่าเป็นฝีมือของแม่มด
ผู้หญิง มักกลายเป็นเป้าหมายหลักที่คนมักเชื่อว่าเป็นแม่มด โดยเฉพาะผู้หญิงที่แตกต่างจากคนอื่น เช่น คนที่ชอบเก็บตัวเงียบ คนหน้าตาอัปลักษณ์ หรือคนที่หน้าตาดีเกินไป พวกเขาเชื่อว่าแม่มดคือตัวแทนของซาตาน นำความวิบัติมาให้ชาวเมือง ต้องถูกกำจัด นั่นคือจุดเริ่มต้นของยุคการล่าแม่มด ที่หากใครถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ก็จะถูกไล่ล่า ทำร้ายร่างกาย และลงโทษถึงชีวิต
ความเชื่อเรื่องแม่มด ตรงกับชีวิตของครูจัสตินในเวเพินส์แบบชัดเจนเลยแหละ เพราะเด็กที่หายไป 17 คนคือเด็กในชั้นเรียนเธอทั้งหมด ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงจากการถูกทำร้าย และปั่นประสาทจากผู้ปกครองและชาวเมืองที่โกรธแค้นนั่นเอง
Weapons คืออะไรในเรื่อง (สปอยด์)
ถ้าใครดูมาแล้วคงรู้ตัวการที่ทำให้เด็กหายไปตัว นั่นก็คือ “ป้า Gladys” ผู้ทำพิธีเรียกจิตวิญญาณของเด็ก ๆ ทั้ง 17 คน โดยใช้สิ่งของหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้น เมื่อนำสิ่งของเหล่านั้นมาพันกับกิ่งกุหลาบป่า ก็จะสามารถควบคุมทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของคนคนนั้นได้ สามารถสั่งให้เขาไปที่ไหน ทำอะไร รวมถึง สั่งให้ทำร้ายใครก็ได้ตามที่ตัวเขาต้องการ
คำว่า Weapons กลับกลายเป็นคำที่สะท้อนถึงสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะยุคอดีตที่คนส่วนใหญ่บูชาเทพเจ้า มาจนถึงยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล แต่ผู้มีอำนาจก็ยังสามารถสั่งการให้คนที่อยู่ภายใต้การควบคุมไปทำร้ายใดก็ได้ ในขณะที่พวกเขาไม่มีทางขัดขืนคำสั่งได้ เหมือนกับว่าพวกเขาคือ “อาวุธ” ที่สามารถปกป้องตัวเอง ในขณะเดียวกัน ก็สามารถใช้ทำร้ายคนอื่นได้เช่นกัน
เหมือนกันกับในภาพยนตร์ที่หากใครเป็นผู้พันสิ่งของและควบคุมกิ่งกุหลาบอยู่ คนนั้นก็มีสิทธิ์สั่งให้คนภายใต้การควบคุมไปทำอะไรก็ได้ เช่น คุณป้า Gladys ที่สั่งให้ผอ. มาร์คัสทำร้ายครูจัสตินและแฟนหนุ่มของเขา หรือตอนที่ป้าสั่งให้พ่อแม่ของอเล็กซ์ทำร้ายตัวเอง หรือแม้แต่ตอนที่อเล็กซ์กลายเป็นผู้คุมกิ่งไม้ เขาก็สามารถสั่งการให้คนภายใต้การควบคุมไปทำร้ายคนอื่นได้เช่นกัน
ท่าทางการวิ่งของเด็กและปริศนาเรื่องเวลา
ประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากสุดคือ ท่าทางการวิ่งของเด็กทั้ง 17 คนที่ลุกขึ้นจากเตียงแล้ววิ่งหายไปในความมืด พวกเขามีท่าวิ่งแบบเดียวกันหมด คือ กางแขนอ้าคล้ายนกกำลังบิน แอ่นตัวไปข้างหน้า ซึ่งทางผู้กำกับเผยว่า เขาได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ Napalm Girl ภาพประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าความโหดร้ายของสงครามเวียดนามในศตวรรษที่ 20
ภาพถ่ายของเหล่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านตรังบังวิ่งหนีกองทัพเวียดนามใต้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หวาดกลัว แขนทั้ง 2 ข้างกางออกคล้ายนกกำลังบิน หนึ่งในภาพสุดสะเทือนใจ คือ ภาพของเด็กหญิงที่ถูกไฟครอกทั้งตัวขณะวิ่งหนี ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภาพ Napalm Girl
อีกหนึ่งประเด็นที่ชาวเน็ตถกเถียงกันมากสุดคือ ทำไมต้องเป็นเวลา 2.17 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เด็ก ๆ วิ่งออกจากบ้านไป และ เป็นฉากที่ปรากฏในความฝันของจอช โบรลินที่เห็นอาวุธปืนระบุเวลา 2.17 บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งในความฝัน ประเด็นตรงนี้ยังหาคำตอบไม่ได้แน่ชัดว่าเพราะอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเกี่ยวข้องกับเวลาที่เพื่อนผู้กำกับที่เสียชีวิตเวลานี้ บ้างก็อ้างอิงไปกับเรื่องการเมืองในอเมริกา
Weapons เป็นผลงานชิ้นใหม่ของ Zach Cregger ที่สามารถกวาดคะแนนจาก Rotten Tomatoes ไปถึง 94% และ IMDb ได้ไป 7.9/10 คะแนน ประกอบกับกระแสรีวิว และคำวิจารณ์เชิงบวกอย่างล้นหลาม แม้ความเห็นบางคนมองว่าไม่ได้แตกต่างจาก Barbarian เท่าไหร่นัก แต่การเล่าเรื่องที่ดูน่าสนใจ บวกกับบทภาพยนตร์ที่แข็งแรง ทำให้เวเพินส์ถูกยกให้เป็นหนังสยองขวัญที่ดีที่สุดของปี 2025 และอาจจะกลายเป็นตัวเต็งในการเข้าชิงรางวัลในปีหน้าก็เป็นได้
ติดตามบทความเพิ่มเติมได้ที่ ghostsfolder