ฮาโลวีน

เปิดตำนาน ‘วันฮาโลวีน’ ปีศาจฝักทองที่คอยหลอกหลอนชาวเมือง

หัวข้อน่าสนใจ

อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาล วันฮาโลวีน 2024 กันแล้ว ประโยคสุดฮิตที่ได้ยินแล้วตื่นตาตื่นใจคนหนีไปพ้น “หลอก หรือ เลี้ยง” ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าสัญลักษณ์ประจำของเทศกาลนี้ ต้องมีปาร์ตี้แต่งกายชุดภูตผีปีศาจทั้งน่ากลัวและน่ารัก รวมไปถึงวัฒนธรรมการตกแต่งบ้านสไตล์สยองขวัญให้เหล่าตัวจิ๋วกลัวจนหัวหด และยังมีอีกหนึ่งไอค่อนสำคัญที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือฟักทองหน้าตาประหลาดที่คอยส่องแสว่างจ้าเหมือนกับโคมไฟ แต่จะมีกี่คนกันที่รู้ประวัติและความเป็นมาของปีศาจฟักทองและเทศกาลฮาโลวีน เราจะพาคุณไปหาคำตอบกันค่ะ

casinovega casinovega.online บาคาร่าออนไลน์ เล่นยังไง mgs888 juth88 faw99 sora168

กำเนิดเทศกาลวันปล่อยผี

ในคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก เดิมทีคำว่า Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ ‘All Hallows Eves’ ซึ่ง ‘Hallow’ แปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ ฉะนั้น ‘All Hallowmas’ จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย

กำเนิด วันฮาโลวีน เทศกาลวันปล่อยผี
กำเนิดเทศกาลวันปล่อยผี

โดยเจ้าวันปล่อยผีนี้มีต้นกำเนิดมาจากเทศกาลของชาวเซลติคโบราณ ที่รู้จักในชื่อ เซลต์เวน (Samhain) มีที่มาจากชาวไอริชโบราณ ถือว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน เทศกาลนี้มีขึ้นเพื่อฉลองจุดสิ้นสุดของช่วงสว่างแห่งปี และเข้าสู่ช่วงมืดของปี ทั้งยังถือกันว่าเป็นวันปีใหม่ของชาวเซลติค

ทำไมต้องจัด วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ?

สาเหตุมันเริ่มตรงที่ ว่ากันว่าเป็นวันที่ชาวเซลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอซ์แลนด์ ได้กำหนดเป็นวันสิ้นสุดปี เป็นวันที่มิติคนตายและมนุษย์จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จึงทำให้คนเป็นอย่างเราในวันสิ้นสุดของปีนั้นพยายามทำทุกทางเพื่อป้องกันผีร้ายด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวงให้มืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่าง ๆ สังสรรค์เสียงดัง เพื่อไม่ให้ผีเข้าใกล้ และตกใจกลัวจนหนีไป เพื่อกลบเกลื่อนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั่นเอง

ทำไมต้องจัด วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ?
ทำไมต้องจัดวันฮาโลวีนตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ?

นอกจากนี้ยังเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจมีการนำสัตว์หรือพืชผลมาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผีและวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับและจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลต์แทน

แต่บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัว แต่นั่นเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาลที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมา และได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออกให้เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน 

มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัว
มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัว

ตะเกียงฟักทอง สัญลักษณ์สำคัญของ วันฮาโลวีน

จริง ๆ แล้ว ในวันฮาโลวีนของชาวเซลท์โบราณเองจะแขวนโครงกระดูกไว้ที่หน้าต่างประตูเพื่อแสดงออกถึงความตาย และมีการแกะสลักโคมไฟจากหัวผักกาด เพราะมีความเชื่อว่าหัวเป็นส่วนที่มีพลังที่สุดของร่างกาย ประกอบไปด้วยจิตวิญญาณและภูมิความรู้ ซึ่งชาวเซลติคใช้ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย แล้วทำไมปัจจุบันถึงได้กลายมาเป็นฟักทองกันได้ ?

มันมีตำนานของ ‘ตะเกียงฟักทอง’ เล่ากันว่า มาจาก แจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns) ซึ่งแจ็คเป็นชื่อของชายขี้เมาชาวไอริชคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นจอมเจ้าเล่ห์ ขี้เหนียวแกมขี้โกง ในวันฮาโลวีนในปีหนึ่ง เป็นวันที่ซาตานได้กำหนดว่าจะเป็นวันตายของเขา ซาตานจึงเดินทางมาหาเพื่อเอาวิญญาณเขาไปนรก ซึ่งขณะนั้นเขาเองยังกำลังดื่มเหล้าอยู่ จึงขอซาตานว่าดื่มเสร็จแล้วจะไปลงนรกกับซาตาน

ตำนานของ ‘ตะเกียงฟักทอง’ เล่ากันว่า มาจาก แจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns)
ตำนานของ ‘ตะเกียงฟักทอง’ เล่ากันว่า มาจาก แจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns)

แต่พอดื่มเสร็จก็ออกอุบายหลอกล่อ ว่าถ้าซาตานมีอิทธิฤทธิ์จริง ลองแปลงร่างเป็นเหรียญให้ดูหน่อยซิ ซาตานก็หลงเชื่อ ทำตามคำท้าไป หลังจากที่ซาตานแปลงร่างเป็นเหรียญ แจ็คก็จัดการเก็บเหรียญใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อซึ่งอยู่ติดกับไม้กางเขน เพื่อไม่ให้ซาตานกลับมาเป็นร่างเดิม และต่อมาเขาก็ยื่นข้อเสนอกับซาตานอีกว่า

ถ้าอยากกลับมาสู่ร่างเดิม จะต้องสัญญาว่า จะไม่มายุ่งเกี่ยวกับตนอีก เป็นเวลา 1 ปี ซาตานก็ตกลงอย่างจำใจ”

ตะเกียงฟักทอง สัญลักษณ์สำคัญของวันฮาโลวีน
ตะเกียงฟักทอง สัญลักษณ์สำคัญของวันฮาโลวีน

พอหนึ่งปีผ่านไป ซาตานกลับมาตามสัญญา คราวนี้เขาก็ออกอุบายอีกครั้ง บอกให้ไปปีนต้นไม้ไปเก็บผลไม้ คงไม่คิดว่าซาตานจะยอมทำแต่ซาตานก็ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้ให้จริง ๆ จึงทำให้แจ็คก็จัดการแกะเปลือกไม้เป็นรูปไม้กางเขนอีกครั้ง และทำให้ซาตานไม่สามารถปีนลงมาได้ แล้วแจ็คก็ยื่นเงื่อนไขว่า

“ถ้าซาตานอยากลงจากต้นไม้ จะต้องสัญญาว่าภายใน 10 ปีจะไม่มาเอาวิญญาณของเขาไป ซึ่งซาตานก็จำต้องตกลงให้คำสัญญาอีกครั้ง”

สุดท้ายแล้วเขาก็หนีความตายไม่พ้นอยู่ดี แต่เมื่อเขาได้ตายลง กลับไม่มีที่ไหนยอมรับวิญญาณของเขาเลยแม้แต่ที่เดียว สวรรค์ไม่ต้อนรับเขาเพราะเป็นคนเจ้าเล่ห์ ส่วนนรกก็ไม่ต้องการเพราะว่าหลอกซาตานเอาไว้ได้ถึงสองครั้งแจ็คจึงกลายเป็นผีเร่ร่อนอยู่กับความมืดมิดเพียงลำพัง แต่ซาตานก็ยังใจดี โยนถ่านที่ยังไม่มอดให้กับแจ็คไว้ 1 ก้อน สำหรับส่องทางในความมืด

เพื่อที่แจ็คจะรักษาถ่านให้ส่องสว่างอยู่นานที่สุด จึงได้แกะหัวผักกาดซึ่งเป็นผักหาง่ายในท้องถิ่นให้เป็นรูและใส่ก้อนถ่านลงไป แล้วผีแจ็คกับตะเกียงหัวผักกาด ก็ล่องลอยไปตามที่ต่าง ๆ ซึ่งคนไอริชเรียกผีแจ็คกับตะเกียงว่า Jack of Lantern ภายหลังได้เพี้ยนไปเป็น Jack O’Lantern

คนไอริชเรียกผีแจ็คกับตะเกียงว่า Jack of Lantern ภายหลังได้เพี้ยนไปเป็น Jack O’Lantern วันฮาโลวีน
คนไอริชเรียกผีแจ็คกับตะเกียงว่า Jack of Lantern ภายหลังได้เพี้ยนไปเป็น Jack O’Lantern

ต่อมาคนในไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์ ได้ทำ Jack O’Lantern เอง โดยการแกะสลักหัวมันแกวหรือหัวมันฝรั่งให้ดูน่ากลัวแล้ววางไว้ที่หน้าต่าง เพื่อให้ผีแจ็คและผีอื่น ๆ กลัว ส่วนชาวอังกฤษที่เดินทางอพยพไปอยู่อเมริกา ก็ได้นำธรรมเนียมนี้พลอยติดไปด้วย แต่ที่อเมริกานั้นฟักทองหาง่ายกว่า อีกทั้งยังแกะสลักง่ายกว่ามันแกวกับมันฝรั่งด้วย ผู้คนจึงเปลี่ยนไปใช้ฟักทองแทน โดยเนื้อฟักทองที่คว้านออกมาก็ได้กลายไปเป็นพายฟักทองขนมในเทศกาล วันฮาโลวีน นั่นเอง

.

และนี่คือตำนานเรื่องเล่าของปีศาจตะเกียงฝักทองและเรื่องราวของวันฮาโลวีนที่เรา Ghostsfolder ได้นำมาฝากกัน เชื่อว่าหลายคนอาจจะทราบกันดีถึงตำนานของเทศกาลปล่อยผี อย่างไรก็ตาม อีกไม่กี่วันเพื่อน ๆ เตรียมตัวกันพร้อมรึยัง อย่าลืมหาคอสตูมหลอน ๆ ตรีมน่ากลัว ๆ ไปหลอกเพื่อน ๆ กันนะคะ