รวม 10 พิธีกรรมแปลก ทั่วโลก ความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ไม่คิดว่ามีอยู่จริง

รวม 10 พิธีกรรมแปลก ทั่วโลก ความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ไม่คิดว่ามีอยู่จริง

หัวข้อน่าสนใจ

จากกกระแสกภาพยนตร์แนวสยองขวัญ ระทึกขวัญ อย่าง Exhuma ขุดมันมาจากหลุม (2024) ซึ่งเชื่อได้เลยว่า ภายในภาพยนตร์นั้น มี พิธีกรรมแปลก ๆ อยู่ไม่น้อย บางคนก็อาจจะรู้ว่ามันคืออะไร และบางคนก็อาจจะไม่รู้ว่า ซึ่งวันนี้เราได้รวม 10 พิธี กรรมแปลก ๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาฝากเพื่อน ๆ ทั้งโหด ทั้งเถื่อน จะมีพิธีแบบไหนบ้าง ตามมาดูเลย

ทดลองความแข็งแกร่งด้วย ‘ถุงมือมดกระสุน’ จากชนเผ่า Sateré-Mawé

ในประเทศบราซิล เด็กหนุ่มชนเผ่า Sateré-Mawé ที่มีอายุครบ 13 ปี ต้องผ่าน พิธีกรรมแปลก ที่เรียกว่า Bullet and Ant Initiation โดยการใส่ถุงมือที่เต็มไปด้วยมดกระสุน (Bullet Ant)  เป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของกายและใจเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นนักรบแบบเต็มตัว

Bullet and Ant Initiation
Bullet and Ant Initiation

พิธีกรรมนี้เริ่มต้นด้วยการให้เด็กหนุ่มผู้มีอายุถึงเกณฑ์ ตามหัวหน้าชนเผ่าเข้าไปในป่าเพื่อรวบรวม ‘มดกระสุน’ มาให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็นำมาวางยาให้สลบไปชั่วคราว ก่อนจะเอาไปยึดติดกับถุงมือที่ทำจากใบไม้ โดยฝังเหล็กในให้ทะลุเข้าด้านในของถุงมือ จากนั้นก็รอให้พวกมดนั้นฟื้นจากฤทธิ์ยาซึ่งพวกมันจะก้าวร้าวและดุร้ายเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มจะต้องใส่ถุงมือนั้นค้างไว้ประมาณ 10 นาที โดยมีกฎว่าห้ามร้องไห้ ห้ามเอามือออกจากถุงเด็ดขาด และพิธีกรรมที่ว่านี้กินเวลาเป็นเดือน นั่นแปลว่าเด็กหนุ่มจะต้องใส่ถุงมือที่ว่านี้ราว ๆ 20 ครั้ง จึงจะถือว่าผ่านการทดสอบโดยสมบูรณ์

พิธีกรรมแปลก : วัฒนธรรมตัดนิ้วมือ ของชนเผ่า Dani

เมื่อมีการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัวของชนเผ่า Dani ในประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นความสูญเสียสะเทือนอารมณ์อย่างมากโดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะผู้หญิงในครอบครัวจะถูกบังคับให้ตัดนิ้วมือส่วนหนึ่งออก แต่ก่อนที่จะทำการตัดนิ้วมือ พวกเขาจะทำการนำเชือกมามัดนิ้วไว้ 30 นาทีเพื่อให้เกิดความรู้สึกชาและเมื่อตัดนิ้วมือออกแล้วก็จะทำการเผาปลายนิ้วที่ถูกตัดเพื่อเป็นการปิดแผล

Finger cutting culture
Finger cutting culture

โดยประเพณีนี้ถือเป็นวิธีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่แปลกที่สุดในโลก ที่ทำขึ้นเพื่อให้เกียรติบรรพบุรุษ และปัจจุบันยังหลงเหลืออยู่ในแค่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น

วัฒนธรรมเอนโด แคนนิบาลิซึม (Endocannibalism)

ชนเผ่า Yanomami อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ในป่าฝนอะเมซอนใกล้กับชายแดนเวเนซูเอลาและบราซิล พวกเขามักเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สืบทอดวัฒนธรรม Endocannibalism

Endocannibalism
Endocannibalism

Endocannibalism คือ วัฒนธรรมการกินคนในชนเผ่าตัวเองหลังจากพวกเขาเสียชีวิตแล้ว โดยจะเอาศพมาชำแหละบนใบไม้ที่ปูไว้ แล้วก็ตากแห้งเอาไว้ให้แมลงมากัดกิน หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 30 – 45 วัน พวกเขาก็จะนำกระดูกที่เหลือมาบดแล้วผสมลงไปในซุปกล้วย จากนั้นก็จะร่วมกันกินทั้งหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆ สำหรับพวกเขา และในอีก 1 ปีต่อมา พวกเขาจะนำขี้เถ้าที่เก็บไว้มาต้มเป็นซุปอีกครั้ง โดยมีความเชื่อว่าทำแบบนี้แล้ววิญญาของคนตายจะหาทางไปสู่สวรรค์ได้

พีธี ‘เอนกิปาตะ – เอมูราตาเร่’ ของชนเผ่ามาไซ

ชนเผ่ามาไซได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มี พิธีกรรมแปลก ๆ หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือพิธีที่ทำขึ้นสำหรับเด็กหนุ่ม (โดยเฉพาะ) เพื่อเป็นหมุดหมายแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ ด้วยด้วยการเป็นนักรบประจำเผ่า

Enkipaata - Emuratare
Enkipaata – Emuratare

เริ่มจากพิธีก่อนสุหนัดหรือที่เรียกว่า เอนกิปาตะ (Enkipaata) เด็กผู้ชายกลุ่มอายุ 14 – 16 ปี จะต้องเดินทางเพื่อแนะนำตัวเองเป็นเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่พิธีสุหนัตหรือที่เรียกว่า เอมูราตาเร่ (Emuratare) เป็นพิธีที่ทั้งหญิงและชายชาวมาไซต้องผ่านเพื่อจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่ สำหรับผู้ชายพิธีนี้จะเป็นขั้นตอนแรกของการเข้าสู่วิถีแห่งนักรบ โดยในคืนก่อนที่จะเริ่มพิธี เหล่าเด็กหนุ่มจะต้องเข้าไปนอนค้างในป่าจนกระทั่งฟ้าสางจึงกลับมายังหมู่บ้านเพื่อร่วมกันร้องรำทำเพลง จากนั้นก็ดื่มน้ำร่วมสาบานที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ นม และเลือดวัว

Enkipaata - Emuratare
Enkipaata – Emuratare

เมื่อเสร็จสิ้นการฉลองจึงเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ ก็คือการทำสุหนัตหรือขริบปลายองคชาต ที่เป็นเครื่องหมายแห่งการเติบโตอย่างสมบูรณ์ โดยหลังจากนี้พวกเขาจะต้องเข้ารับการอบรมฝึกฝนทักษะการเป็นนักรบอีก 8 – 12 ปี ก่อนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นนักรบรุ่นใหญ่ของชนเผ่าต่อไป แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากนี้ยังมีตำนานที่เล่ากันว่าสมัยก่อนชาวมาไซจะทดสอบความเป็นผู้ใหญ่ของเด็กหนุ่มด้วยการปล่อยให้ออกไปล่าสิงโตเพียงลำพังและสยบมันให้ได้ด้วยปลายหอก

พิธีกรรมแปลก ของประเทศอินโดนีเซีย กับ มะเนเน (Ma’Nene)

ชาวโตราจา จากประเทศอินโดนีเซีย จะมีประเพณี มะเนเน (Ma’Nene) หรือการขุดศพคนตายขึ้นมาจากหลุมศพในทุก ๆ ปี เพื่อที่จะใช้ชีวิตร่วมกับศพเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่

Ma'Nene
Ma’Nene

โดยพวกเขาจะนำเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เตรียมไว้มาใส่ให้ศพนั้นไว้แล้วจะพาเดินรอบ ๆ หมู่บ้าน และถึงแม้ว่าศพนั้นจะอยู่มานานเป็น10 ปี พวกเขาจะขุดขึ้นมาประกอบพิธีทุกปี ส่วนวัตถุประสงค์หลักของพิธีกรรมนี้ก็เพื่อนำศพขึ้นมาล้างทำความสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้และพาศพกลับมาเยี่ยมชมบ้านตัวเอง นั่นหมายความว่าถ้าศพคนในหมู่บ้านถูกฝังอยู่นอกหมู่บ้านหรือที่อื่น พวกเขาก็จะทำการขุดศพนั้นขึ้นมาแล้วพากลับมาทำพิธีที่หมู่บ้านหรือบ้านเกิดของศพนั้น ๆ

การกระโดดหอคอยของชาววานูอาตู

การกระโดดจากหอคอยสูงหรือที่เรียกว่า นากอล (Naghol) ถือเป็นพิธีกรรมเก่าแก่ของชาววานูอาตูที่จะจัดขึ้นในทุกฤดูใบไม้ผลิ โดยหอคอยที่ว่านี้จะประกอบขึ้นจากไม้เนื้อแข็งและเถาวัลย์ต่อกันเป็นชั้น ๆ จนได้ความสูงประมาณ 25 เมตร ใช้เถาวัลย์ที่มีความยาวเท่ากับระนาบพื้นดิน ผูกกับข้อเท้าทั้งสองข้างของผู้กระโดด ส่วนพื้นด้านล่างก็คือลานดินที่ลาดไปตามไหล่เขา

Naghol
Naghol

เมื่ออายุได้ประมาณ 6 – 7 ขวบ เด็กหนุ่มบนเกาะนี้จะได้รับอนุญาตให้สัมผัสกับพิธีกรรมน่าหวาดเสียวนี้เป็นครั้งแรกร่วมกับชายคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เริ่มจากระดับความสูงประมาณ 6 เมตร ซึ่งแม่ของเด็กจะถือเครื่องรางไว้ในมือแล้วรอจนลูกของตัวเองดิ่งหอคอยลงมาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นจึงโยนเครื่องรางทิ้งไป นั่นเป็นเครื่องหมายว่าเด็กคนนี้ได้เปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการแล้ว

Naghol
Naghol

นอกจากมีไว้เพื่อพิสูจน์ความเป็นชายอีกด้วย โดยพิธีกรรมนี้ยังเป็นการทำนายความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลในปีนั้น ๆ เช่น ถ้าคนที่กระโดดลงมาสามารถเอาศีรษะและช่วงไหล่สัมผัสพื้นดินได้พอดี หมายความว่าปีนั้นพืชผลจะงอกงาม แต่ถ้าเกิดเถาวัลย์สั้นหรือยาวเกินไป นอกจากแปลว่าพืชผลจะไม่งามแล้วนั้น คนที่กระโดดลงมาก็อาจได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกระดูกหักหรือเสียชีวิตก็เป็นได้

ว่ากันว่า นี่คือต้นแบบของการดิ่งพสุธาหรือกีฬาบันจี้จัมพ์ (Bungee Jump) ที่เราเห็นกันในทุกวันนี้นี่เอง

พิธีอาชูรออ์ พิธีกรรมแปลก ๆ ของศาสนาอิสลาม

สาวกบางส่วนของนิกายชีอะห์ (Shi’lite) ของศานาอิสลาม เช่น ปากีสถาน อิรัก อิหร่าน ตุรกี แาเซอไบจาน เลบานอน และบาเรห์น มีการประกอบพิธีเฆี่ยนและทำร้ายตัวเองด้วยใบมีดเพื่อให้เลือดไหลออกจากร่างกาย

Ashura
Ashura

โดยพิธีกรรมนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงความทุกข์ทรมานของฮุสเซนผู้เป็นหลานชายของศาสดามูฮัมหมัด อย่างไรก็ตามผู้ที่ร่วมทำพิธีนี้เป็นเพียงแค่สาวกชีอะห์บางส่วนเท่านั้น เพราะยังมีนักบวชชีอะห์บางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับประเพณีนี้

การดวลแส้ ของชนเผ่าฟูล่า

ชนเผ่าฟูล่า (Fula) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกของแอฟริกา มีวิธีการวัดความเป็นชายที่เจ็บแสบ และเป็น พิธีกรรมแปลก ที่สุดในโลก โดยเด็กชายชนเผ่าฟูล่าที่มีอายุประมาณ 10 – 12 ปี จะต้องเข้าพิธีดวลแส้ (Whip Match) กับเด็กชายจากต่างหมู่บ้าน กติกาก็ง่าย ๆ ก็คือให้แต่ละคนหวดแส้ใส่คู่ต่อสู้แบบเต็มแรงคนละ 3 ครั้ง โดยคนที่โดนหวดต้องพยายามเก็บอาการให้ได้มากที่สุด ส่วนคนที่ฟาดก็ต้องฟาดให้แรงที่สุด ฝ่ายไหนเก็บอาการได้ดีกว่าก็จะถือว่าชนะและจะได้รับการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นการ ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องกลับบ้านไปฝึกฝนใหม่

Whip Match
Whip Match

ขณะเดียวกัน เด็กสาวชาวฟูล่าก็ต้องผ่านพิธีกรรมอันเจ็บปวดไม่แพ้พวกผู้ชาย โดยพวกเธอต้องอดทนกับความเจ็บปวดจากการสักสัญลักษณ์ประจำเผ่าลงบนใบหน้า ซึ่งใช้เวลาราว ๆ สองชั่วโมง และแน่นอนว่าถ้าพวกเธอไม่แสดงความเจ็บปวดใด ๆ ออกมาจนกว่าการสักจะเสร็จ ก็จะถือว่าเติบโตเปลี่ยนผ่านหรือเป็นผูใหญ่อย่างเป็นทางการนั่นเอง

‘การลบความจำ’ ของชนเผ่าอัลกอนควิน

ถึงแม้ว่าประเพณีนี้อาจดูโหดร้ายและเย็นชา แต่มันคือพิธีกรรมที่เด็กหนุ่มชนเผ่าอัลกอนควิน ในประเทศอินเดีย ยังต้องเผชิญอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพิธีกรรมนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘Algonquin Drug Trip’ โดยเด็กหนุ่มที่มีอายุถึงเกณฑ์จะถูกพาออกไปนอกเมืองเหมือนการไปทัศนศึกษา แต่ว่าก่อนที่จะได้กลับเข้ามา พวกเขาจะถูกจับขังไว้ในกรงขนาดใหญ่เป็นเวลา 20 วัน และถูกบังคับให้กินยาที่มีชื่อว่า ไวซอแคน (Wysoccan) ที่มีฤทธิ์หลอนประสาทเหมือน LSD แต่แรงกว่าประมาณ 100 เท่า

Algonquin Drug Trip
Algonquin Drug Trip

ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กเหล่านี้จะลืมครอบครัวของตัวเอง ลืมวิธีการพูดหรือการสื่อสารบางอย่างที่เคยทำได้และถ้าหนักหน่อยก็อาจจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง ส่วนเด็กคนไหนที่กลับมาแล้วยังจำพ่อแม่พี่น้องของตัวเองได้ก็จะโดนส่งไปทัศนศึกษาอีกรอบ โดยจุดประสงค์ของพิธีกรรมนี้ก็เพื่อทำให้พวกเขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างในวัยเด็ก และสามารถโฟกัสกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

พิธีกรรมแปลก : ‘Helot Killing’ ของชาวสปาร์ตัน

ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง 300 ขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก (2006) จะต้องรู้จักกับพิธีกรรมนี้อย่างแน่นอน โดยในสมัยกรีกโบราณ ชาวสปาร์ตันคือกลุ่มคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง ดุดันและเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของนักสู้ ทั้งนี้ก็เพราะพวกเขาถูกปลูกฝังและเคี่ยวเข็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ

Helot Killing
Helot Killing

ซึ่งเมื่ออายุได้ 7 ขวบ เด็กชายชาวสปาร์ตันจะถูกส่งเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกนักรบหรือที่เรียกว่า คริพเทีย (Krypteia) ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาจะได้ฝึกฝนวิชาทหารควบคู่ไปกับการปลูกฝังความจงรักภักดีและจะได้เรียนรู้กลวิธีการต่อสู้ การเอาตัวรอด และการทดสอบความอดทนต่าง ๆ นานา ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี

จนกระทั่งอายุย่างเข้า 18 ปี ก่อนจบหลักสูตรการเป็นนักรบ พวกเขาจะต้องพบบททดสอบที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าจะเปลี่ยนผ่านจาก ‘a boy’ เป็น ‘a man’ ได้หรือไม่ ผ่านขั้นตอนที่เรียกว่า Helot Killing ซึ่งใน พิธีกรรมแปลก นี้ พวกเขาจะถูกพาไปทิ้งไว้กลางชนบทโดยมีมีดพกแค่เพียงเล่มเดียวและจะต้องหาทางกลับมายังศูนย์ฝึกให้ได้อย่างปลอดภัย โดยระหว่างทางพวกเขาจะต้องฆ่าเฮล็อต (ทาสที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ) ทุกคนที่พบเจอด้วย ซึ่งเป็นแผนการของรัฐอีกชั้นหนึ่งที่ต้องการปรามพวกทาสไม่ให้คิดก่อการกบฏ

เด็กชายชาวสปาร์ตันจะถูกส่งเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกนักรบหรือที่เรียกว่า คริพเทีย (Krypteia)
เด็กชายชาวสปาร์ตันจะถูกส่งเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกนักรบหรือที่เรียกว่า คริพเทีย (Krypteia)

หากพวกเขาทำได้สำเร็จ ก็ถือว่าผ่านหลักสูตรและจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นนับรบอย่างเป็นการ ขณะเดียวกันก็จะได้รับอนุญาตให้แต่งงานและสร้างครอบครัวได้ ปต่น่าเสียดายที่ชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยต้องตายระหว่างการต่อสู้ แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับชาวสปาร์ตันเพราะที่นั่นไม่เคยมีที่ว่างหรือความเห็นใจให้กับคนที่อ่อนแอเลย

และนี่ก็คือทั้งหมด 10 พิธีกรรมแปลก ๆ จากทั่วโลก ที่เราได้นำมาฝากเพื่อน ๆ ชาว Ghostsfolder เป็นอย่างไรกันบ้าง มีใครเคยเจอหรือรู้จักพิธีกรรมไหนบ้างที่สามารถถกเถียงดันได้ค่ะนี่ต้องขอบอกเลยว่า ถ้าพูด พิธี กรรมที่แปลกที่สุดในบทความนี้ คงจะเป็น พิธีกรรมทำร้ายตัวเอง พิธีกรรม แปลก ๆ ของศาสนาอิสลาม