รวม 5 หนังสยองขวัญ ที่มีความหมายแอบแฝงซ่อนคนดูอยู่

หัวข้อน่าสนใจ

หนังสยองขวัญ เป็นหนังประเภทหนึ่งที่มีเสน่ห์ด้วยตัวของมันเอง ถึงแม้ว่าจะเคยมีคนตั้งคำถามว่าดูหนังแนวสยองขวัญ ดูหนังเลือดสาด ดูหนังผีที่มีจัมพ์สแกร์เยอะๆ คือเป็นพวกโรคจิตหรือเปล่า ซึ่งต้องเลยบอกว่าหนังแนวฆkตกรรม สยองขวัญ ไล่ฆ่าจนเลือดสาด เป็นงานภาพที่ค่อนข้างโหดร้าย แต่ในอีกมุมมองมันกลับสวยงามให้ความเป็นศิลปะเหมือนกัน ซึ่งมีผลวิจัยออกมาบอกว่ามันก็ไม่ได้ผิดปกติไปจากคนทั่วไปที่ไม่ชอบดูหนังแนวนี้ เรียกได้ว่าหนังแนวสยองขวัญหรือว่าหนังฆาตกรรมมันก็มีเสน่ห์ของมันนั่นเอง เราเลยอยากจะพาทุกคนมาดู 5 หนังแนวสยองขวัญที่มีความหมายแอบแฝงซ่อนคนดูอยู่ จะมีเรื่องไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

หนังสยองขวัญ : Candyman (1992)

Candyman (1992)
Candyman (1992)

เริ่มกันที่แคนดี้แมนหนึ่งในตัวละครจากเรื่อง Candyman (1992) เขาคือชายผิวคล้ำ ตัวสูงใหญ่ ถือตะขอหลายแบบ ซึ่งตัวหนังครับเล่าเรื่องของนักข่าวสายสืบสวนคนหนึ่งชื่อว่าเฮเลนที่กำลังตามสืบเรื่องของแคนดี้แมน โดยแคนดี้แมนนคือวิญญาณของศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ถูกฆาตกรรมเพราะไปมีความสัมพันธ์กับลูกสาวคนรวยคนหนึ่งที่เป็นคนผิวขาว และวิธีการปรากฏตัวของมันง่ายๆ เพียงเรียกชื่อเขาครบ 5 ครั้ง เขาจะปรากฏตัวออกมา โดยลักษณะภายนอกมันจะปรากฎออกมาพร้อมกับฝูงผึ้ง

Candyman (1992)
Candyman (1992)

ว่ากันว่าเจ้าแคนดี้แมนเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันต้องเผชิญในอดีตนี่คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหนังเรื่องนี้ และสิ่งหนึ่งที่หนังได้สื่อมันชัดเจนมากยิ่งขึ้นก็คือตัวละครเฮเลนที่ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของคนทั่วไปซึ่งมองว่าเหตุการณ์ในอดีตของแคนดี้แมนเป็นแค่เรื่องแต่งมากกว่าความเป็นจริงครับ เรียกง่ายๆ ว่าเฮเลนคือมุมมองของบุคคลทั่วไปที่มองข้ามความสำคัญของความโหดร้ายในอดีตที่เกิดขึ้นกับเรื่องของสีผิวมีผลต่อความคิดของคนในสังคมสมัยนั้น ซึ่งทุกคนมักจะมองที่ปลายเหตุว่าแคนดี้แมนคืออะไร แต่ไม่มีใครมองอย่างลึกซึ้งเลยว่าก่อนที่เขาจะมาเป็นแบบนี้เขาไปเผชิญอะไรมาบ้างซึ่งมองแค่ปลายทางว่ามันคือความรุนแรงนั่นเอง

Dawn of the Dead (1978)

Dawn of the Dead (1978) หนังสยองขวัญ
Dawn of the Dead (1978)

มาต่อกันที่ Dawn of the Dead (1978) อาจจะเป็นหนังซอมบี้ที่คนรู้จักดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยหนังเรื่องนี้กำกับโดยจอร์จ โรเมโร (George A. Romero) ซึ่งเล่าถึงการล่มสลายของสังคมมนุษย์เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อซอมบี้ขึ้นมา โดยตัวหนังได้ติดตามคนรอดชีวิตทั้งหมด 4 คน ที่พวกเขาได้ขังตัวเองเอาไว้ที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อพยายามเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ ซึ่งก็เป็นหนึ่งไอเดียของคนในสังคมหลายคนว่าถ้าเกิดว่ามีซอมบี้บุกก็เลือกที่จะขังตัวเองอยู่ในห้างสรรพสินค้าเพราะมันมีของ มีอาหาร มีชุดสวยๆ มีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น เรียกได้ว่าเพียบพร้อมในการใช้ชีวิตมากๆ

โดยรวมแล้วหนังเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมมากกว่าซอมบี้วิ่งไล่กับมนุษย์ โรเมโรได้ทำให้ซอมบี้เป็นสัญลักษณ์ของความโลภ และความโลภของคนเรานี่แหละและความไร้จิตวิญญาณ และการที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เพราะห้างสรรพสินค้าคือแหล่งรวมความโลภของมนุษย์ที่เข้าไปแล้วก็สามารถหยิบจับจ่ายใช้สอยได้ทุกอย่างนั่นเอง

หนังสยองขวัญ : The Shining (1980)

The Shining (1980)
The Shining (1980)

The Shining (1980) ภาพยนตร์สยองขวัญในตำนานที่อ้างอิงเรื่องราวมาจากนิยายคลาสสิกของ สตีเวน คิง (Stephen Edwin King) ซึ่งสิ่งที่หนังจะสื่อถึงความหมายของตัวมันเองก็ได้รับการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักวิจารณ์มากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่หนังต้องการสื่อออกมามันมาจากเบื้องหลังของนิยายต้นฉบับ โดยมีการอธิบายว่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในเป็นการอธิบายถึงผลกระทบที่ยาวนานของการเลี้ยงดูต่อการพัฒนาของบุคคล โดย แจ็ก เทอร์แรนซ์ เป็นตัวละครเอกที่ในเรื่องเขาเป็นคนติดเหล้าเหมือนกับพ่อของเขา และวงจรของความโหดร้ายยังคงดำเนินต่อไปผ่านบาดแผลที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สรุปง่ายๆ ก็คือเป็นการส่งต่อความรุนแรงภายในครอบครัวที่มันมีอยู่จริงในสังคมบ้านเราอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง

The Texas Chainsaw Massacre (1974)

The Texas Chainsaw Massacre (1974)
The Texas Chainsaw Massacre (1974)

ถัดมากันที่ The Texas Chainsaw Massacre (1974) ที่ถึงแม้ว่าหนังมันจะเล่าเรื่องของเหยื่อที่ถูกไล่ตามโดยฆาตกรที่โหดร้ายและน่ากลัวมาก ซึ่งหนังแนวสแลชเชอร์หรือแนวไล่ฆ่าเป็นหนังที่หลายคนดูแล้วสามารถเดาตอนจบได้ ดูธรรมดาและดูน่าเบื่อ แต่เรื่องนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ โดยหนังเรื่องนี้ได้ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ภายใต้หนังแนวเลือดอสาดที่ทุกคนคิดว่าธรรมดานั่นก็คือ การนำเสนอตัวละครทั้ง 5 คน ที่ต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวจิตผิดมนุษย์ครอบครัวหนึ่งที่มุ่งมั่นจะฆ่าพวกเขาอย่างมาก โดยตัวหนังมีวิธีการเล่าที่แตกต่างจากหนังทั่วไปในยุคสมัยนั้น เพราะเหยื่อทุกคนถูกกระทำเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นวัวเป็นควายนั่นเอง หรือสรุปง่ายๆ คือ สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อนั้นเน้นถึงความโหดร้ายของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ที่บางทีเองก็ไม่รู้ว่าจากหนังลาฆ่าจะกลายเป็นประเด็นที่หลายคนอาจจะรู้อยู่แล้ว

หนังสยองขวัญ : A Nightmare on Elm Street (1984)

A Nightmare on Elm Street (1984) หนังสยองขวัญ
A Nightmare on Elm Street (1984)

และเรื่องสุดท้ายกับหนังแนวสยองขวัญในตำนานที่ทุกคนรู้จักกับ A Nightmare on Elm Street (1984) ที่ภายในหนังมีตัวละครวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศที่ถูกเจ้าเฟรดดี้ ครูเกอร์ตามไล่ล่าจนกว่าจะตาย ตัวหนังยังสื่อสารเรื่องนี้ผู้ชมรับรู้ว่าวัยรุ่นเหล่านี้อยู่ในโลกที่คนรุ่นก่อนไม่เข้าใจ หรือไม่เข้าพวก ซึ่งพวกเขาจะถูกโจมตีจากคนรุ่นก่อนๆ ด้วยการถูกตีตราว่าเป็นความผิดทางเพศของ เพราะเรื่องนี้หากเกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นคือเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผิดบาปต่อศาสนา

A Nightmare on Elm Street (1984)
A Nightmare on Elm Street (1984)

ซึ่งถ้าหากเรามองเรื่องนี้ในยุคสมัยนั้น มันเป็นเรื่องจริงที่หลายคนไม่กล้าเปิดเผยตัวออกมาว่าเป็น LGBTQ+ แต่ถ้าเกิดว่าเรามองกลับในยุคปัจจุบันมันก็กลายเป็นเรื่องน่ายินดีที่สังคมของเราได้มีการพัฒนาขึ้น มีการเปิดเผยตัวตนมากขึ้น มีการยอมรับมากขึ้น และการที่หนังทำให้เห็นว่าวัยรุ่นพวกนั้นจะอ่อนแอที่สุดเมื่อหลับ เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะหลับมันมักมีแต่ความรุนแรง ถือเป็นการแทรกการมประณามความผิดทางเพศที่มาจากพ่อแม่ที่สามารถนำไปสู่บาดแผลบาดลึกในตัววัยรุ่นได้เหมือนกัน นอกจากนี้ ตัว หนังสยองขวัญ เรื่องนี้เองก็พยายามจะสื่อสารว่าเรากำลังใช้ความรุนแรงกับการเบี่ยงเบนทางเพศของใครคนหนึ่งอยู่ และการเบี่ยงเบนทางเพศเนี่ยมันก็ไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อใครหรือสร้างเดือดร้อนให้ใคร มันเป็นเพียงตัวตนของคนๆ หนึ่ง เท่านั้นเอง

แท้จริงแล้ว หนังแนวสยองขวัญ ที่เราเห็นว่ามีแต่ภาพรุนแรง ความเลือดสาดหรือความโหดหิน ไม่ใช่หนังที่นำพาจิตใจของคนด่ำดิ่งสู่เส้นทางอีกหนึ่งเส้นทางที่เราอาจจะเห็นกันบ่อยๆ ในเรื่องสาเหตุของความรุนแรง แต่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นสื่อบันเทิงที่ให้ข้อคิดและได้สอดแทรกประเด็นทางสังคมเอาไว้อยู่หลากหลายประเด็น โดนสร้างผลกระทบออกมาให้เป็นรูปแบบหนังฆาตกรรมที่มีภาพความรุนแรงเปรียบเทียมกับความเป็นจริง และนี่ก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหนังแนวสยองขวัญทั้ง 5 เรื่องที่เราได้หยิบมาฝากเพื่อนๆ Ghostsfolder สามารถติดตามพาร์ทที่ 2 ได้ในบทความหน้าค่ะ