หนังแนวสยองขวัญ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับผี ล้วนแล้วเกิดจากตัวผู้กำกับหรือคนเขียนบทต้องการที่จะแทรกอะไรบางอย่างลงไปในหนังไว้เพื่อให้เรารู้สึกมันมีปัญหาแบบนี้อยู่ในสังคม ซึ่งอาจจะไม่เคยหยิบยกมาพูดถึงแบบตรงๆ หนังก็เลยกลายเป็นกระบอกเสียงกระบอกหนึ่งที่ถ่ายทอดความรู้สึกและเรื่องราวของปัญหาเหล่านี้ให้ผู้ชมอย่างเราได้รับรู้และรู้สึกกับมัน ทำให้คอนเทนต์ในวันนี้ของเราจะต่อจากบทความก่อนหน้านี้ที่แล้วเราได้เขียนเกี่ยวกับหนังผีหรือหนังสยองขวัญที่มีความหมายหรือนัยยะบางอย่างซ่อนอยู่กับ 5 หนังสยองขวัญที่มีความหมายซ่อนอยู่ในทิศทางของบริบททางสังคม มาดูกันว่าผู้กำกับหนังเหล่านี้เขากำลังแทรกเรื่องราวและประเด็นของเขายังไงบ้าง
หนังสยองขวัญ 5 เรื่อง ที่มีความหมายแอบแฝงซ่อนคนดูอยู่
Christine (1983)
เริ่มกันที่ Christine (1983) ที่ตัวหนังได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อว่า อาร์นี่ (Arnie) เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองและก็ได้ไปตกหลุมรัก Plymouth Fury 1958 รถคลาสสิคคันหนึ่งในอู่รถเก่า ก่อนจะซื้อมาและซ่อมแซมให้ใหม่เอี่ยม แต่เขากลับพบว่ารถคันนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งรถคันนี้เองภายในหนังมันเหมือนมีแนวโน้มที่จะพยายามจะฆ่าทุกคนที่จะเข้ามาขวางทางความรักระหว่างอาร์นี่กับรถคันนี้ โดยสิ่งที่หนังเรื่องนี้สอดแทรกคือเขากำลังบอกว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงบุคลิกตัวเองได้เพื่อให้ตัวเองเข้ากับผู้อื่นได้โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่มักจะมีความพยายามในการเข้าหาคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูเท่หรือดูดี ซึ่งหลายๆ ครั้งมันก็นำไปสู่การทำลายตัวเองในที่สุดได้เช่นกัน
หนังแนวสยองขวัญ : The Lost Boys (1987)
The Lost Boys (1987) เป็นหนังที่เล่าถึงความแปลกแยกของวัยรุ่นที่ได้รวบรวมแก๊งแวมไพร์ที่ใช้ชีวิตแบบเมามันส์ โดยหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากหนังแวมไพร์ในยุคก่อน แถมยังเปลี่ยนภาพลักษณ์แวมไพร์ในช่วงยุคนั้นประมาณหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของคนแก่ ตัวสูงโปร่ง ใส่ชุดดำคลุมผ้าเหมือนค้างคาว แต่ว่าเรื่องนี้เขาเปลี่ยนแวมไพร์ให้กลายเป็นหนุ่มสาวที่เซ็กซี่แทน ทำให้หนังแวมไพร์ในยุคต่อมากลายเป็นแวมไพร์ที่เป็นคนปกติแต่เล่นกับความผิวขาวแทนและเรื่องของแววตาที่มันดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์
ซึ่งผู้กำกับได้อธิบายเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ว่ามันเกี่ยวข้องกับความกลัวของคนเราที่เรามีต่อคนที่อยู่นอกกระแสสังคม โดยเอาความกลัวมาแสดงออกมาในรูปแบบของแวมไพร์ที่ต่อต้านการอนุรักษ์นิยม ที่ซึ่งเป็นระบบที่กำหนดบริบทสังคมในช่วงยุค 1980 ทั้งในด้านแฟชั่นและโดยเฉพาะกับเรื่องทางเพศ และที่สำคัญ The Lost Boysก็ได้กลายเป็นหนังของชุมชน LGBTQ+ และเป็นการสำรวจเรื่องเพศของวัยรุ่นในรูปแบบของ Coming Of Age Story ซึ่งได้รับการยืนยันจากนักแสดงบางกลุ่มที่บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของเกย์ที่มันสมบูรณ์และสวยงามมากๆ นั่นเอง
Rosemary’s Baby (1968)
หนังแนวสยองขวัญ เรื่องต่อมาคือ Rosemary’s Baby (1968) หนังจิตวิทยาที่เล่าเรื่องของ โรสแมรี่ วู้ดเฮ้าส์ ซึ่งกำลังตั้งครรภ์และอยู่กินกับสามี แต่กลับเกิดเรื่องราวบางอย่างแปลกๆ กับจิตใจของเธอ ซึ่งจริงๆ แล้วมันควรเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่ตัวเองได้ดีลูก แต่มันกลับกัน เพราะเธอถูกเพื่อนบ้านตามตอแยและโดนคุกคาม อีกทั้งเพื่อนบ้านเองก็เชื่อว่าหญิงสาวคนนี้เป็นสมาชิกของลัทธิซาตานและต้องการให้ลูกในท้องเป็นเครื่องเสวยกับซาตาน ซึ่งการที่เพื่อนบ้านเชื่อว่าลูกในท้องของเธอนั้นเป็นเครื่องสังเวยหรือเครื่องบูชาซาตานนั้นได้มุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกและอารมณ์ของโรสแมรี่ ซึ่งผู้กำกับได้อธิบายว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเชิงสัญลักษณ์กับการสูญเสียตัวตนที่สามารถเกิดขึ้นกับคุณแม่มือใหม่ได้เช่นกัน
Invasion of the Body Snatchers (1978)
ถัดมาที่ Invasion of the Body Snatchers (1978) หนังสยองขวัญที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์ไซไฟสยองขวัญทุกเรื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเลยก็ว่าได้ โดยเล่าเรื่องของเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนที่ตัดสินใจหลบหนีจากดาวเคราะห์ที่กำลังจะตายมายังโลกเพื่อที่พวกมันจะได้แพร่กระจายเผ่าพันธุ์และกินมนุษย์ได้มากเท่าที่ต้องการ ซึ่งปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือเมื่อพวกมันได้แพร่สู่มนุษย์ก็จะสร้างร่างก็อปปี้ที่เหมือนกันทุกอย่างของเหยื่อเอาไว้ครับ โดยผู้กำกับเขาบอกว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้มาจากหนังเรื่องเดียวกันในเวอร์ชันปี 1956 เพียงแค่เปลี่ยน Message ของหนังให้แตกต่าง
โดยในเวอร์ชันเก่า เอเลี่ยนจะเป็นสัญลักษณ์ของภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ที่ต้องการสื่อสารว่าเอเลี่ยนคือคอมมิวนิสต์ที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาในสังคม แต่ผู้กำกับก็ได้ตัดสินใจทำเรื่องนี้แบบรีเมคขึ้นมาใหม่ที่เล่าเกี่ยวกับความอันตรายของรัฐบาลที่พยายามเข้ามายุ่งเกี่ยวในชีวิตส่วนตัวนั่นเอง ทำให้หนังเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่เป็นคนที่ไม่สามารถเชื่อถือได้
หนังแนวสยองขวัญ : The Fly (1986)
และหนังเรื่องสุดท้ายที่หลายคนอาจจะเคยดูและไม่เคยดู กับ The Fly (1986) ที่เล่าเรื่องของนักประดิษฐ์คนหนึ่งที่ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์เทเลพอร์ตขึ้นแต่กลับมีเรื่องราวเกิดขึ้น นั่นก็คือ DNA ของเขามันไปผสมพันธุ์กับแมลงวัน เพราะแมลงวันมันบินเข้าไปในเครื่องเทเลพอร์ต ซึ่งในตอนแรกชหนังถูกมองว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์หรือการกระทำที่ไม่คิด ไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน แต่ทางผู้กำกับก็ได้ออกมาชี้แจงไว้ว่าแม้ว่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่ามันคือโรคเอดส์ แต่จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ของผลกระทบของโรคทั่วไป และทำให้เห็นผลที่ตามมาว่าโรคเหล่านี่มันเปลี่ยนแปลงผู้คนเป็นยังไงและนำเสนอเรื่องของสภาวะทางร่างกายที่อาจจะต้องเตรียมรับกับความตายนั่นเอง
และก็จบไปกันแล้วกับ 5 หนังสยองขวัญ ที่มีความหมายแอบแฝงซ่อนคนดูอยู่ (part2) ที่เราได้นำมาฝากเพื่อนๆ ชาว Ghostsfolder บอกได้เลยว่าภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่เราได้หยิบมาล้วนแล้วเป็นหนังในตำนานที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสยองขวัญในยุคนี้มากๆ ซึ่งพล็อตหรือเนื้อหาของหนังนั้นเป็นเอกลักษณ์มากๆ ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังเหล่านี้จึงได้ถูกยกให้เป็นหนังแนวสยองขวัญที่เป็นเหมือนกับกระบอกเสียงเล็กๆ ที่ส่งต่ออิทธิพลให้กับหนังยุคใหม่ๆ นั่นเอง
- รวม 5 เรื่องหลอน จาก หนังสือเรียน ยุค 90 มานะ มานี ปิติ ชูใจ - December 6, 2024
- เปิดเรื่องหลอน “ตุ๊กตาผีสิง” วิญญาณเจ้าสาวเกลียดผู้ชาย โจมตีไปแล้ว 17 คน - November 29, 2024
- รู้จัก 4 นักไสยเวทย์ ระดับพิเศษ ใน มหาเวทย์ผนึกมาร (Jujustu Kaisen) *สปอยล์ มีตัวละครตาย* - November 26, 2024