ตำนานสยองขวัญที่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ต้องยกให้ทวีปเอเชีย แหล่งกำเนิดเรื่องราวอันน่าสระพรึงกลัวที่ส่งต่อจิตวิญญาณแความน่ากลัวแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก แต่จะรู้หรือไม่ว่า เรื่องราวและตำนานสุดสยองขวัญในทวีปเอเชียของเรานั้น มีเรื่องอะไรน่ากลัวและมีเรื่องไหนดังที่สุดจนเป็นที่กล่าวขานไม่มีหมด วันนี้เราจะพามารู้จักกับเหล่าตำนาน 5 เรื่องเล่าที่ขึ้นชื่อว่าหลอนและน่ากลัวที่สุดในทวีปเอเชียมาฝากค่ะ
“จางซาน-บอม” เสือสมิงแห่งหุบเขาจางซาน
ตำนานสยองขวัญของสัตว์ประหลาดตนนี้ เริ่มจากช่วงประมาณต้นปี ค.ศ. 2010 ได้มีชาวเน็ตหลายคนได้พูดถึงสัตว์ลึกลับ โดยที่แต่ละคนสามารถอธิบายถึงลักษณะของมันได้อย่างใกล้เคียงกัน จนกระทั่งเริ่มมีการตั้งชื่อว่า “จางซาน-บอม” ให้กับสัตว์ประหลาดตนนี้ ซึ่งมีความหมายว่า “เสือแห่งจางซาน”
ก่อนที่ตำนานของมันจะเริ่มเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล มันเริ่มจากชายคนหนึ่งซึ่งได้เล่าเอาไว้ว่า เมื่อ 10 ปีก่อน สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นอาศัยอยู่ในเมืองปูซานบริเวณใกล้ป่าในหุบเขาจางซาน วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินป่ากับคุณพ่อในช่วงฤดูร้อนตามปกติเหมือนทุกครั้ง ๆ แต่จู่ ๆ หางตาของเขาได้ไปพบเห็นใครบางคนหลบอยู่หลังก้อนหิน สิ่งที่เห็นคือใครสักคนที่ดูเหมือนสวมชุดขนสัตว์ ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูร้อน
ต่อมาใครคนนั้น ก็ได้เดินออกมาจากหลังก้อนหิน ก่อนจะก้มคลาน 4 ขา ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง ในตอนนั้นเขาจำได้แค่ว่าเขากรีดร้องลั่นด้วยความกลัว แล้ววิ่งหนีไม่คิดชีวิต จากนั้นรู้ตัวอีกที ภาพที่เห็นก็คือพ่อของเขาได้วิ่งเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าสัตว์ตนนั้นก็หายตัวไป และไม่ได้พบเห็นมันอีกเลย ซึ่งมันยังคงฝังใจตลอดมา
หลังจากที่ “จางซาน-บอม” เป็นที่พูดถึงมากมาย ทำให้หลายคนเชื่อว่าเดิมทีมันอาจจะเป็นเสือตัวหนึ่งที่ได้กินมนุษย์เข้าไปมากมาย จนวิญญาณทั้งหลายถูกกักขังไว้ภายในตัวมัน ทำให้กลายเป็นสัตว์ร้ายที่มีพลังอำนาจมากมาย เช่นเดียวกับเสือสมิงของไทย แม้เรื่องของมันจะเป็นตำนานสยองขวัญที่ฟังดูน่าสนใจและมีคนพูดถึงทั่วโลกโซเชียล แต่นักวิชาการกลับไม่สามารถหาต้นฉบับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดตนนี้อย่างแท้จริงได้แต่อย่างใด
“จิ้งจอก 9 หาง”
ตำนานสยองขวัญ ของปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง โดยในภาษาญี่ปุ่นมาจากคำศัพท์ว่า 九尾の妖狐 (Kyuubi no Yooko) ถ้าแปลตามตัวอักษรคันจิจะได้ว่า 九 แปลว่า (เลข) เก้า , 尾 แปลว่า หาง , 妖 แปลว่า มีเสน่ห์ น่าหลงใหล และ 狐 แปลว่า สุนัขจิ้งจอก คำว่า 妖狐 เมื่อนำมารวมกันจะได้หมายความว่า ปีศาจจิ้งจอกที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้
อย่างที่เราทราบกันทั่วไปว่าจิ้งจอก 9 หาง มีตำนานหลากหลายถิ่น บ้างก็ว่าญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิด ไม่ก็อ้างว่าจีนคือต้นฉบับของตำนาน แต่เชื่อหรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว เจ้าปีศาจตนนี้มีกำเนินจากประเทศอินเดียต่างหาก
โดยในตำนานของอินเดีย ปีศาจจิ้งจอก 9 หาง ได้จำแลงกายมาในฐานะสาวชาวบ้านที่มีรูปโฉมงาม และพอเมื่อเจ้าชายได้ยลโฉมของนาง ก็เริ่มหลงใหล ไม่ว่าหญิงสาวตนนั้นจะขออะไรก็หามาให้ จนหญิงสาวคนนั้นยอมมาเป็นนางสนมให้ แต่ด้วยความที่เจ้าชายมัวเมาไปกับกิเลสตัณหา ไม่ทำการทำงานจนบ้านเมืองล่มจม องค์ราชาที่เห็นก็รับมือไม่ได้ เลยได้เรียกนักบวชมาเพื่อหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชาย และได้คำตอบว่าเจ้าชายอยู่ใต้มนต์สะกดของปีศาจจิ้งจอก
พอปีศาจจิ้งจอกรู้เข้าว่าพระราชารู้ตัวตนของนาง เลยสั่งให้เจ้าชายลอบสังหารพระบิดาทิ้ง แต่ไม่สำเร็จ เจ้าจิ้งจอกเก้าหางเลยโดนจับและทำพิธีสะกดวิญญาณ ก่อนที่เจ้าปีศาจตนนี้จะรวบรวมพลังแปลงกลายกลับมาเป็นจิ้งจอกเก้าหางสีทองเพื่อบินหนีไป และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเจออีกเลย
นอกจากนี้ตามความเชื่อนั้น ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเกิดจากสุนัขจิ้งจอกที่อยากเป็นมนุษย์จึงบำเพ็ญเพียรเพื่อให้มีวิชาอาคม และเมื่อบำเพ็ญเพียรครบ 100 ปี จะมีหางเพิ่มขึ้นมาอีก 1 หาง และเมื่อบำเพ็ญเพียรจนมีครบ 9 หาง จะมีวิชาอาคมที่แกร่งกล้าเป็นอย่างมาก และสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ถึงแม้ว่านางพญาจิ้งจอกเก้าหางจะไม่ใช่ตำนานสยองขวัญ แต่เป็นตำนานที่สืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน แตกออกมาตามถิ่นฐานเพื่อส่งต่อความน่ากลัวของมัน
“ขบวน 100 อสูร” กำเนิดของเหล่าโยไค
ในทุกปีบนท้องถนนของประเทศญี่ปุ่น จะมี “ขบวนร้อยอสูร” หรือ “เฮียกคิยาโค” (百鬼夜行) ออกมาเดินในช่วงค่ำคืนฤดูร้อน เชื่อกันว่าหากใครได้พบเห็นก็จะถูกสาปจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นสาเหตุให้ผู้คนในญี่ปุ่นมักไม่ค่อยเดินทางไปไหนมาไหนในช่วงกลางดึกของฤดูร้อน รวมถึงต้องปิดบ้านอย่างแน่นหนา เพื่อหลบซ่อนจากขบวนร้อยอสูรที่เดินทางผ่านมา
ตำนานสยองขวัญขบวนร้อยอสูรเป็นการรวบรวมภูตผีปีศาจ 100 ตนมาร่วมขบวนเดินพาเหรด โดยมีหัวหน้าขบวน คือ นูราริเฮียง (滑瓢 nurarihyon) เป็นภูตผีปีศาจที่มีรูปร่าลักษณะที่ดูเป็นคนชนชั้นสูง เลยถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าขบวน เจ้าปีศาจตนนี้จะอยู่ตามบ้านต่าง ๆ ที่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของบ้าน โดยเจ้าผีตนนี้จะเข้าไปในบ้านของผู้คนยามวิกาลและพยายามไม่ให้เจ้าของบ้านรู้ตัว เพื่อเข้าไปกินอาหารที่ตนเองต้องการ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการสะกดจิตผู้คน แต่โดยทั่วไปจะไม่ทำร้ายมนุษย์ พอมันกินอาหารเสร็จแล้วก็จะจากไปอย่างเงียบ ๆ ทำให้บางบ้านต้องเตรียมอาหารหรือเครื่องเซ่นไหว้ไว้นอกชานบ้านสำหรับต้อนรับเทพอาคันตุกะตนนี้หาอาหารหรือของมีค่าจากบ้านนั้น
ขบวนของเหล่าภูติผีนี้มักปรากฏตัวกลางดึกในช่วงเวลาที่เรียกว่า 丑三つ時 (ushimitsudoki) ซึ่งตามความเชื่อของญี่ปุ่นแล้ว ถือเป็นเวลาที่ผีออกง่ายที่สุด (ราว ๆ 02.00 น. ถึง 03.00 น.) และจะปรากฏที่จุดเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ อย่างสะพาน, 4 แยก หรือประตู ในบริเวณเขตชานเมืองและหมู่บ้าน ตามตำนานสยองขวัญนี้ ว่ากันว่าหากมนุษย์ธรรมดาคนใดไปเผชิญหน้ากับขบวนผีนี้จะต้องมีอันเป็นไปหรือประสบพบเจอกับภัยร้าย ยกเว้นเหล่าองค์เมียวจิ ผู้มีวิชาอาคมจะสามารถหลบหลีกหรือท่องคาถาให้คำสาปที่โดยร่ายหายไปได้
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือ แท้จริงแล้วขบวนร้อยอสูรไม่ได้ออกเดินพาเหรดในช่วงหน้าร้อนเพียงเท่านั้น แต่ยังมีการปรากฎว่าเหล่าภูตผีพวกนี้ได้ออกเดินขบวนในฤดูอื่น ๆ อีก ซึ่งอิงตามปฏิทินโบราณแล้ว ผู้คนก็จะงดเว้นจากการออกจากบ้านในคืนนั้น โดยหลัก ๆ แล้ววันที่ขบวนร้อยอสูรจะปรากฏตัวคือ
- วันชวด เดือน 1 – เดือน 2
- วันมะเมีย เดือน 3 – เดือน 4
- วันมะเส็ง เดือน 5 – เดือน 6
- วันจอ เดือน 7 – เดือน 8
- วันมะแม เดือน 9 – เดือน 10
- วันมะโรง เดือน 11 – เดือน 12
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเหล่าขบวนร้อยอสูรจะเป็นที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ชาวบ้านไม่กล้าออกจากบ้านตอนกลางคืนในคืนตามปฏิทินโบราณ แต่พวกปีศาจเหล่านี้ไม่ได้มีเป้าหมายทำร้ายใคร หากแต่อย่าเข้าไปเจอเพราะพวกมันจะร่ายคำสาปใส่ ทำให้กลายเป็นตำนานสยองขวัญที่กล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้
“ผีห้องน้ำ” ฮานาโกะซัง
“ผีฮานาโกะ” หรือ “ผีห้องน้ำ” ถือเป็นตำนานเมืองที่เป็นตำนานสยองขวัญ มีเรื่องเล่าและประวัติยาวนานกว่า 70 ปี ตั้งแต่ช่วงยุค ค.ศ.1950 แม้ว่าชื่อของเด็กสาวจะฟังดูแล้วน่ารัก น่าเอ็นดู แต่อย่างไร มันก็ขึ้นชื่อว่า “ผี” ที่สร้างความสยองขวัญ และทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย ทั้งเสียงที่หลอกหลอนหู และเมื่อใครได้ยิน จะทำให้จับไข้ หรือจะมาในรูปแบบโผล่มาแค่มือ โผล่มาทั้งตัว แล้วลากเหยื่อลงนรก
หากใครคิดภาพออกฮานาโกะซังไม่ออกนั้น ก็คงอารมณ์ประมาณ “เมอร์เทิลจอมคร่ำครวญ” ในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นวิญญาณเด็กสาวที่แต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาว กระโปรงเอี๊ยมสีแดง ผมบ๊อบสั้น ที่ถูกไฟครอกตายอยู่ภายในห้องน้ำโรงเรียน โดยสาเหตุการตายของเธอนั้น บ้างก็บอกว่าเธอเล่นซ่อนหากับเพื่อนอยู่ภายในโรงเรียน บ้างก็บอกว่าเธอนั้นวิ่งหนีเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องน้ำของโรงเรียน แต่ว่าคำบอกเล่าทั้งสองนั้นจบลงด้วยการทิ้งระเบิดของเครื่องบินทิ้งระเบิดนั่นเอง ซึ่งผลที่ตามมานั่นก็คือเธอถูกไฟครอกให้ตายทั้งเป็นอยู่ภายในห้องน้ำของโรงเรียน
บางเรื่องเล่าตำนานสยองขวัญของฮานาโกะ สาเหตุที่เธอตาย จริง ๆ แล้ว มาจากการที่เธอถูกกลั่นแกล้งภายในโรงเรียน จึงทำให้เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายภายในห้องน้ำของโรงเรียน และกลายเป็นผีเร่ร่อนหลอกหลอนผู้คนเรื่อยมา หรือจะเป็นเด็กสาวที่ถูกฆาตกรรมจากคนโรคจิต โดนทารุณจากคนในครอบครัว และเรื่องเล่าอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่จุดร่วมเพียงอย่างเดียวของสาเหตุการตายของเธอนั้นคือการที่นั้นเธอตายอยู่ภายในห้องน้ำของโรงเรียน
ตำนาน “ผีปากฉีก” ความสวยสะพรึง สะกดใจผู้ได้พบเห็น
“สาวปากฉีก” หรือ “ผีปากฉีก” ตำนานสยองขวัญของหญิงสาวในปกรณัมตำนานญี่ปุ่นซึ่งถูกสามีผู้หึงหวงทำร้ายจนเสียอวัยวะ และต่อมากลายเป็นผีร้าย (onryō) โดยตำนานของเธอเริ่มเป็นที่กล่าวขานกันในปี พ.ศ. 2522 จนแพร่ไปทั่วประเทศในเวลาอันเร็วและยังให้เกิดความตื่นตระหนกในหลายหัวเมือง ถึงขนาดที่มีรายงานข่าวว่าโรงเรียนต้องจัดครูคุ้มกันนักเรียนจนถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ และเจ้าพนักงานตำรวจต้องเพิ่มเวรยาม
หากพูดถึงตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของผีปากฉีกนั้น ปรากฏในสมัยเฮอัง ได้ความว่าหญิงคนหนึ่งเป็นภารยาหรืออนุภริยาซามูไรนายหนึ่ง แต่ไม่ซื่อตรงต่อสามี สามีพบเข้าก็โกรธ เอาดาบกรีดปากนางจนถึงใบหู แล้วว่า “ดูเถิดคนเขาจะเห็นว่ามึงงดงามอยู่อีกหรือไม่” บางตำนานบอกว่าหญิงนั้นก็ตายทันที หรือบางตำนานก็กล่าวว่าเธอทนไม่ความน่าเกลียดไม่ได้เลยต้องไปฆ่าตัวตาย แต่เพราะใจพยาบาทสามี จึงไม่ไปผุดไปเกิด กลับกลายเป็นผีร้ายมาแก้แค้นสามีและหลอกหลอนผู้คนอยู่ทั่วไป
แต่ตำนานสยองขวัญของผีปากฉีกกลับมาในช่วงทศวรรษที่ 2500 ในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ในขณะที่เด็กบางคนเดินกลับบ้านอยู่ลำพังอาจจะพบหญิงสาวคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัย หญิงคนนั้นจะหยุดเดินและถามเด็กว่า “ฉันสวยไหม” ถ้าเด็กบอกปัด หญิงนั้นจะล้วงกรรไกรออกมาตัดปากเด็กจนถึงแก่ความตาย ถ้าเด็กตอบรับว่าสวย หญิงนั้นจะปลดหน้ากากอนามัยออก และยิ้มให้เด็กดูแล้วถามเด็กนั้นอีกว่า “แล้วแบบนี้ล่ะ ฉันยังสวยไหม” ถ้าเด็กตอบว่าไม่ หญิงนั้นจะล้วงกรรโกรมาตัดร่างกายเด็กให้เป็นสองท่อน ถ้าตอบว่าใช่ หญิงนั้นจะมอบความสวยงามให้แก่เด็กนั้นบ้างโดยเอากรรไกรตัดปากเด็กจนถึงใบหูเสีย เด็กไม่อาจวิ่งหนีหญิงคนนั้นพ้นได้ เพราะหญิงสาวจะปรากฏต่อเด็กอีกจนกว่าจะได้ประทุษร้ายเด็กนั้น
มีการออกมาบอกว่า ยังคงมีวิธีหนีผีปากฉีกได้โดยถ้าหากเธอถามว่าสวยไหม ให้ตอบไปว่างั้น ๆ ไม่ถามย้อนไปว่าฉันสวยไหมล่ะ หญิงสาวตนนั้นจะเกิดความงง-งวย และหากว่ากำลังวิ่งหนี ก็ให้โยนส้มหรือโปรยลูกอมขนมหวานไป ผีสาวจะหันไปเก็บของเหล่านั้นและเปิดโอกาสให้หนีพ้นไปได้
เป็นอย่างไรบ้างกับตำนานสยองขวัญทั่วทวีปเอเชีย เชื่อกันว่าเรื่องราวเหล่านี้ทุกคนต้องเคยได้ยินกันมาบ้าง แต่ไม่รู้เรื่องของรายละเอียดเพิ่มเติมของเรื่องราวนั้น ต้องขอขอบคุณข้อมูลจาก missiontothemoon และสามารถติดตามคอนเทนต์ที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ ghostsfolder.com
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025