คดีสยอง ประเทศญี่ปุ่น

คดีสยอง ประเทศญี่ปุ่น รวบรวมคดีโหด เดือด เลือดสาด ฉบับแดนอาทิตย์อุทัย

หัวข้อน่าสนใจ

ว่ากันว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนอยากไปเยือนมากที่สุด แต่เป็นประเทศที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย เพราะแท้จริงๆแล้ว ภายใต้หหน้าม่านที่แสงสว่างเจิดจ้า ทั้งผู้คน สถานที่ และวัฒนธรรม กลับมีฉากหลังที่ดำมืดและน่ากลัว ในวันนี้ชาว Ghostfolder จะมาเล่าคดีสยอง จากประเทศญี่ปุ่น ที่การันตีทั้งความ โหด ทารุณและมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างไรก็ตาม สามารถเข้ามาอ่านและเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนได้ค่ะ

คดีสยอง ฆ่าหั่นศพที่สวนสาธารณะอิโนะคาชิระ

เปิดคดีสยอง ด้วยเคสฆ่าหั่นศพที่สวนสาธารณะอิโนะคาชิระ โดยเมื่อ 19 ปีก่อน ในช่วงเช้าของวันที่ 23 เม.ย. ปี ค.ศ.1994 คนงานคนหนึ่งพบชิ้นส่วนมนุษย์ถูกยัดใส่ถุงอยู่ในถังขยะที่สวนสาธารณะอิโนะคาชิระในกรุงโตเกียว อวัยวะที่พบได้แก่ มือ 2 ข้าง, เท้า 2 ข้าง ไหล่ด้านขวา, ข้อเท้า และเศษเนื้อกับกระดูกจำนวนมาก รวมทั้งหมด 24 ชิ้น ขณะที่ส่วนศีรษะ, หน้าอก และของลับ ยังไม่พบจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งต่อมาศพดังกล่าวถูกระบุว่าเป็นของสถาปนิกชั้นนำอายุ 35 ปีคนหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งนามสมมติว่า ‘เอส’ ถูกพบขณะมีชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 22:00 น. วันที่ 22 เม.ย. โดยมีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันว่า มีคนที่มีลักษณะคล้ายกับเอส อยู่กับชาย 2 คนในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน และชาย 2 คนนี้ ก็เข้าไปที่สวนสาธารณะอิโนะคาชิระ ในเวลา 04:00 น. วันที่ 23 เม.ย.

คดีฆ่าหั่นศพที่สวนสาธารณะอิโนะคาชิระ
คดีฆ่าหั่นศพที่สวนสาธารณะอิโนะคาชิระ

ผลการชันสูตรศพในคดีสยอง นี้ชี้ให้เห็นว่าศพของเขาได้ถูกล้างจนสะอาดและถูกดูดเลือดออกไปจนหมด ผู้ทำต้องมีทักษะและการฝึกฝนทางการแพทย์อย่างมาก ก่อนที่จะถูกสไลด์เป็นชิ้นเล็กขนาดเพียง 1 ซม. ด้วยเลื่อยไฟฟ้า ขณะเดียวกันที่ของส่วนกล้ามเนื้อก็ถูกตัดออกไปอย่างปราณีต ตัวศพเองไม่มีร่องรอยการถูกทุบตีหรือการใช้ยาใด ๆ เลย จึงไม่อาจระบุสาเหตุการเสียชีวิตได้ แต่มีร่องรอยของการเลือดออกภายในที่กล้ามเนื้อเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่า ชายผู้นี้อาจถูกตัดอวัยวะในขณะที่ยังมีชีวิต

โดยทางด้านการสืบสวนนั้น คนรอบตัวของเขาถูกสอบปากคำหมดทุกคนและห้องพักของเขาก็ถูกตรวจค้นจนละเอียด แต่ก็ไม่พบเจอหลักฐานใด ๆ เลย ต่อมา 11 เดือนให้หลัง ได้มีการระดมพลเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่เข้าร่วมสืบสวนคดีนี้ถูกเกณฑ์ไปสืบคดีการโจมตีด้วยแก๊สซารินที่สถานีรถไฟใต้ดินโตเกียว นั่นจึงทำให้คดีสยองสุดปริศนานี้หยุดชะงัก และในปี 2009 คดีความก็ได้หมดลง แถมยังทิ้งปริศนาไว้อีกมากมายจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถจับตัวหาคนร้ายมาลงโทษได้

คนรอบตัวของเขาถูกสอบปากคำหมดทุกคนและห้องพักของเขาก็ถูกตรวจค้นจนละเอียด แต่ก็ไม่พบเจอหลักฐานใด ๆ เลย
คนรอบตัวของเขาถูกสอบปากคำหมดทุกคนและห้องพักของเขาก็ถูกตรวจค้นจนละเอียด แต่ก็ไม่พบเจอหลักฐานใด ๆ เลย

ฆาตรกรโหด ฆ่า ข่มขืน ศพเด็ก

คดีสยอง เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคดีฆาตรกรรมต่อเนื่องของเด็กสาว โดยในช่วงปี ค.ศ. 1988 – 1989 หนุ่มใหญ่ สึโตมุ มิยาซากิ ผู้ได้รับฉายาว่า “ฆาตกรโอตาคุ” เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวญี่ปุ่นผู้ฆาตกรรมเด็กหญิงสี่คน อายุราว 4-7 ปี ในไซตามะและโตเกียว ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ.1988 (พ.ศ.2531)-มิถุนายน ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) โดยจะทำการหลอกล่อเด็ก อาสาขับรถไปส่งบ้าน แต่สุดท้ายก็พามามายังที่พักอาศัยของตนเอง ก่อนจะจับเด็กเหล่านั้นแก้ผ้าแล้วถ่ายรูป จากนั้นเขาก็จะฆ่าเด็กเหล่านั้นและมีเพศสัมพันธ์กับศพของเด็ก

เมื่อทำกิจกรรมน่ารังเกียจนั้นจบลง คดีสยองนี้ยังไม่จบ เพราะเขาจะหั่นมือและเท้าของเด็กเหล่านั้น เพื่อนำไปเก็บเหมือนเป็นรางวัลแสดงความสำเร็จในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ดื่มเลือกและกิน “มือ” ข้างหนึ่งของศพที่หั่นไว้อีกด้วย นอกจากนี้หลังทำการฆาตกรรมเด็ก เขาจะเขียนจดหมายถึงครอบครัวของเด็ก บอกเล่ารายละเอียดการฆาตกรรม รวมถึงโทรหาครอบครัวของเหยื่อ เมื่อมีคนรับเขาจะไม่พูดอะไรแต่จะหายใจแรง ๆ ซึ่งต่อมาในปี 2551 สีโตมุถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 17 มิถุนายน และจบชีวิตฆาตกรโรคจิตผู้สั่นสะเทือนสังคมญี่ปุ่น

ฆาตรกรโหด ฆ่า ข่มขืน ศพเด็ก
ฆาตรกรโหด ฆ่า ข่มขืน ศพเด็ก

คดีสยอง ไล่แทงเด็ก ฆาตกรรมหมู่ที่โอซาก้า

เมื่อปี ค.ศ. 2001 ภารโรงของโรงเรียนประถมอิเคดะ มาโมรุ ทาคุมะ ได้ก่อคดีสะเทือนขวัญ ด้วยการใช้มีดทำครัวเข้าทำร้ายเด็ก ๆ ขณะอยู่ในโรงเรียนจนมีเด็ก 8 คนเสียชีวิตทันที เด็กอีก 13 คนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก รวมถึงครูอีก 2 คน ซึ่งเด็กทั้งหมดนั้นมีอายุเพียง 7-8 ปี เท่านั้น และเมื่อสืบประวัติของเขาแล้วพบว่า เขาถูกจับกุมมาแล้วกว่า 11 ครั้ง รวมถึงมีประวัติทารุณกรรมสัตว์ต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะได้เข้ารับการทำงานพิเศษในที่ต่าง ๆ ก็มักจะถูกไล่ออกด้วยพฤติกรรมที่ไม่ไว้วางใจ รวมไปถึงความรุนแรง หลังจากก่อคดีเค้าถูกส่งตัวไปรักษาที่โณงพยาบาลจิตเวช แต่เขาเองก็ได้พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จจนสุดท้ายทางโรงพยาบาลจึงได้ปล่อยตัวในปี ค.ศ. 2000 และเขาก็ยังคงไปก่อคดีอีกมากมายอย่างต่อเนื่อง จนในท้ายที่สุด หลังการก่อคดีโรงเรียนประถมอิเคดะ เขาถึงถูกตัดสินประหารชีวิตในปี ค.ศ. 2003

คดีสยอง ไล่แทงเด็ก ฆาตกรรมหมู่ที่โอซาก้า
คดีสยอง ไล่แทงเด็ก ฆาตกรรมหมู่ที่โอซาก้า

แก๊สซาริน คดีสยองจากลัทธิแปลก

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2538 สมาชิกลัทธิโอมจำนวน 5 คน มีเป้าหมายในการใช้ก๊าซพิษนี้โจมตีประชาชนชาวญี่ปุ่นที่กำลังเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียว โดยเลือกช่วงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุด ทั้ง 5 คนเลือกนั่งขบวนรถไฟที่จะผ่านย่านคาซูมิกาเซกิในเวลาพร้อม ๆ กันเพื่อปฏิบัติการ เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านที่ตั้งของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลญี่ปุ่น

สมาชิก 5 คน ประกอบไปด้วย

  • รถไฟสายชิโยดะ – อิกุโอะ ฮายาชิ ศัลยแพทย์โรคหัวใจ
  • รถไฟสายฮิบิยะ – มาซาโตะ โยโกยาม่า จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ประยุกต์
  • รถไฟสายฮิบิยะ – โตรุ โตโยดะ กำลังศึกษาปริญญาโทฟิสิกส์โมเลกุล
  • รถไฟสายมารุโนอุชิ – เคนิชิ ฮิโรเซ่ จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ประยุกต์
  • รถไฟสายมารุโนอุชิ – ยาสุโอะ ฮายาชิ วิศวกรไฟฟ้า
แก๊สซาริน คดีสยองจากลัทธิแปลก
แก๊สซาริน คดีสยองจากลัทธิแปลก

ผู้ปฏิบัติการทั้ง 5 คน ใน 5 สายรถไฟใต้ดินได้บรรทุกถุงใส่ซารินขึ้นไป พวกเขาจะห่อถุงก๊าซด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะนำไปวางในขบวนรถไฟแล้วใช้ของปลายแหลม เช่น ปลายร่ม ทิ่มถุงให้ทะลุ จากนั้นเวลาประมาณ 8.10 ทีมทั้ง 5 คนได้ขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินแล้วก็แยกกันขึ้นรถที่คอยเตรียมไว้หลบหนีไปเซฟเฮาส์

การโจมตีแก๊สพิษซารินเป็นฝีมือของกลุ่มลัทธิ โอมชินริเกียว ลัทธิที่เริ่มแรกยึดหลักคำสอนของศาสนาพุทธและฮินดู เน้นการฝึกจิตสมาธิ นั่งโยคะ แต่ต่อมากลายเป็นมีความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก เชื่อว่าญี่ปุ่นจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ รวมถึงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และอ้างว่าสมาชิกลัทธินี้จะเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่รอดชีวิต หลังก่อเหตุ สมาชิก 13 คนรวมถึงนายโชโกะ ถูกตัดสินประหารชีวิต ขณะที่สมาชิกรายอื่นๆ ถูกจำคุก โดยนายคัตสึยะ ทาคาฮาชิ ผู้ต้องหารายสุดท้ายถูกจับกุมเมื่อปี 2555  ทางด้านกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นได้ย้ายที่คุมขังของสมาชิก 7 คนใน 13 คน โดยคาดว่าอาจถูกประหารในเร็ววัน

ทางด้านกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นได้ย้ายที่คุมขังของสมาชิก 7 คนใน 13 คน โดยคาดว่าอาจถูกประหารในเร็ววัน
ทางด้านกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นได้ย้ายที่คุมขังของสมาชิก 7 คนใน 13 คน โดยคาดว่าอาจถูกประหารในเร็ววัน

คดีการเสียชีวิตของชิโมยามะ ซาดาโนริ

คดีสยองนี้เริ่มจากการหายตัวไปอย่างลึกลับของนาย ชิโมยามะ ซาดาโนริ ประธานคนแรกของการรถไฟแห่งชาติญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 1949 และถูกพบเป็นศพเสียชีวิตในวันต่อมา โดยไม่มีสาเหตุชัดเจนจนถึงวันนี้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือการฆาตกรรม สถานการณ์ตามเนื้อหาข่าว คือ เขาออกจากบ้านที่เมืองโอตะ ในกรุงโตเกียว ในเวลา 08:20 น. เพื่อไปทำงาน โดยแวะห้างฯ มิตสึโคชิ ในเมืองนิฮานบาชิ ในเวลาประมาณ 09:37 น. และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทราบข่าวของเขา ก่อนที่ศพจะถูกพบในวันที่ 6 ก.ค. โดยศพมีสภาพแหลกเหลวบนรางรถไฟสายโจบัน ซึ่งอยู่ระหว่างสถานี คิตะ-เซนจู และสถานีอายาเซะ ตำรวจระบุว่า เขาถูกรถไฟชนจนเสียชีวิต

ผลการชันสูตรศพได้พบอาการเลือดออกภายในซึ่งสามารถทำให้เสียชีวิต อาจมีสาเหตุจากการถูกกระแทก เช่น การเตะ แต่ไม่ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้เป็นการฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย ด้านเจ้าหน้าที่นิติเวชเทศบาลกรุงโตเกียว ซึ่งได้ชันสูตรศพเช่นกัน ระบุว่า การเสียชีวิตของเขาเป็นการฆ่าตัวตายและอาการเลือดออกภายในที่พบเกิดเพราะถูกรถไฟชน เรียกได้ว่าเป็นคดีสยองที่ยังไม่สามารถแก้คดีและหาสาเหตุได้ อีกทั้งถ้าเป็นการฆาตรกรรมแล้วใครคือคนร้าย แล้วคดีสยองนี้ถ้าเป็นการฆ่าตัวตาย อะไรคือแรงจูงใจกันล่ะ หลังจากการเสียชีวิตของนายชิโมยามะ ก็เกิดเหตุรถไฟพุ่งชนสถานีมิตากะ ในกรุงโตเกียว ในวันที่ 15 ก.ค. หรือเพียงสิบวันต่อมา มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ และเหตุรถไฟตกรางระหว่างสถานีคานายากาวะ และสถานีมัตสึกาวะ เมื่อ 17 ส.ค. ปีเดียวกันมีผู้เสียชีวิต 3 ศพ ตำรวจเชื่อว่าทั้งสองเหตุการณ์เป็นการก่อวินาศกรรม แต่ก็ไม่อาจหาข้อสรุปได้ จนคดีทั้ง 3 เรียกว่า 3 ปริศนาของการรถไฟแห่งชาติญี่ปุ่นไปแล้ว

คดีการเสียชีวิตของชิโมยามะ ซาดาโนริ
คดีการเสียชีวิตของชิโมยามะ ซาดาโนริ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ.com

จะเห็นได้ว่า คดีสยองทั้ง 5 คดีที่เราได้ยกมานั้น เป็นคดีที่ค่อนข้างดังอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับคนพวกนี้อย่างระมัดระมัง อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมาก ๆ ใครก็ใฝ่ฝันอยากจะไปสัมผัสบรรยากาศที่อบอุ่น ในทางกลับกัน คดีสยองที่เราได้เล่ามานั้นเป็นอีกด้านมืดของสังคมญี่ปุ่นที่เราไม่อยากพบเจอ

สามารถติดตามอ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Ghosts Folder – สารคดี – แฟ้มลับเรื่องสยองขวัญที่คุณอาจไม่เคยรู้