เมื่อไม่กี่วันก่อนข่าวการแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นกลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก เกี่ยวกับการสั่นสะเทือนที่ไม่สามารถทำอะไรญี่ปุ่นได้ เนื่องจากสถาปัตยกรรมที่เน้นการ Tack Less หรือการสร้างอาคารแบบไร้ตะปู ซึ่งอาคารหรือสถาปัตยกรรมแบบโบราณในแถบคาบสมุทรแปซิฟิกอย่างเกาหลีและญี่ปุ่น จะมีความคงทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ โดยคงภูมิปัญญาการสร้างอาคารแบบเข้าลิ่มทุกส่วน
และเพราะเหตุนี้ทำให้เรานึกอยากจะลองค้นหาดูเล่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องเล่าหรือตำนานแผ่นดินไหว วันนี้เราชาวโกสต์โฟลเดอร์จะพาเพื่อนมารู้ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
ตำนานแผ่นดินไหวญี่ปุ่นกับปลาดุกยักษ์
อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศญี่ปุ่นที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะ นั่นทำให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อย จากข้อมูลทางด้านธรณีวิทยา ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่บน Ring of Fire หรือวงแหวนไฟ เป็นแนวรอยเลื่อนของเปลือกโลกในมหาสมุทรแปซิฟิกจึงไม่แปลกใจที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตลอดทั้งปี
แต่ญี่ปุ่นก็มีความเชื่อมาแต่โบราณด้วยว่า เป็นเพราะปลาดุกยักษ์ที่อาศัยอยู่ใต้พื้นโลกเกิดการขยับตัวดิ้น นอกจากนี้ที่จังหวัดอิบารากิ (茨城県) นั้น มีศาลเจ้าชื่อคาชิมะ (鹿島神宮) ที่สร้างขึ้นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสตกาล เป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าคาชิมะเพื่อขอให้คุ้มครองจากภัยแผ่นดินไหว ที่นั่นมีรูปสลักปลาดุกยักษ์ถูกหินขนาดใหญ่เรียกว่าคานาเมะอิชิ (要石) กดทับเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีแท่งหินขนาดใหญ่ฝังลึกลงไปในดิน โดยเทพเจ้าคาชิมะจะใช้หินนี้กดทับหัวและหางของปลาดุกยักษ์ใต้พิภพเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวซึ่งจะเป็นที่มาของแผ่นดินไหวนั่นเอง
ตำนานแผ่นดินไหวของชาวยุโรป
ในอดีตกาล ชาวกรีกเชื่อว่า เทพเจ้าแอตลาส (Atlas) ที่แบกโลกไว้บนบ่าคือต้นเหตุของแผ่นดินไหวทั้งหมด แต่ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ‘โฮเมอร์’ (Homer) กวีดังชาวกรีกแย้งว่าน่าจะเกิดจาก เทพเจ้าโพไซดอน (Poseidon) ผู้ปกครองท้องทะเลเสียมากกว่า
ในขณะที่ ‘เทลล์’ (Thales) นักปราชญ์ชาวกรีก คัดค้านการปรักปรำเทพเจ้าทั้งสองท่านและให้ความเห็นว่าน่าจะเกิดจากการไหลของกระแสคลื่นในมหาสมุทรอย่างรุนแรง ส่วน ‘อริสโตเติล’ (Aristotle) ก็ยังเชื่ออยู่ลึก ๆ ในใจว่าแผ่นดินไหวเกิดจากพายุที่ถูกขังไว้ในถ้ำใต้ดินและกำลังพยายามดิ้นรนกลับออกมาสู่พื้นโลกต่างหาก
ชาวไวกิ้งในแถบสแกนดิเนเวียเชื่อว่า เทพเจ้าโลกิ (Loki) ได้สังหารพี่ชายของตัวเอง จึงถูกคุมขังมัดไว้กับก้อนหินใหญ่ในถ้ำใต้โลก บังเอิญว่าในถ้ำนั้นมีงูใหญ่ห้อยหัวคอยหยดพิษใส่หน้าเทพเจ้าโลกิตลอดเวลา น้องสาวของเทพเจ้าโลกิจึงได้นำชามใบใหญ่ไปคอยรองพิษงูเอาไว้ไม่ให้ถูกพี่ชาย แต่เมื่อไหร่ที่พิษงูเต็มชาม และน้องสาวต้องนำชามไปเทพิษงูทิ้ง เทพเจ้าโลกิก็จะต้องเอียงหัวไปมาเพื่อหลบพิษงูอยู่ชั่วขณะ จึงทำให้เกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะ ๆ บนโลกนั่นเอง
ส่วนชาวเบลเยียม เชื่อว่าเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์มีความชั่วร้ายมาก ๆ พระเจ้าจะส่งนางฟ้าฝ่ายเหี้ยมมาสะบัดแส้ ฟาดฟันอากาศรอบโลกจนเกิดเป็นแผ่นดินไหว
ชาวลัตเวีย มีความเชื่อว่า เทพเจ้าเดรบคูลส์ (Drebkuhls) แบกโลกไว้และเดินไปเดินมาบนสวรรค์ ในบางครั้งอาจพบอุปสรรคในการเดินทางทำให้โลกสั่นสะเทือนได้บ้าง และชาวโรมาเนีย ก็เชื่อว่าโลกวางอยู่บนเสาศักดิ์สิทธิ์ของความเชื่อ ความศรัทธา ความหวังและบุญกุศล คนก่อกรรมทำชั่วมากขึ้น เสาศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าอาจเอนเอียงและทำให้โลกสั่นสะเทือนก็เป็นได้
ตำนานแผ่นดินไหวทางฝั่งอเมริกากลาง
แถบอเมริกากลาง อย่างชาวเม็กซิกันได้เล่าต่อ ๆ กันมาว่าที่แผ่นดินมันไหวเกิดจาก ปีศาจเอล ดิอาโบล (El Diablo) และเหล่าสมุนที่ถูกขังอยู่ใต้โลก โดยพวกมันพยายามเขย่าโลกตลอดเวลาเพื่อใช้รอยแตก เป็นช่องทางหนีขึ้นมาสูดอากาศทางด้านของ ชนพื้นเมืองนาฮัว (Nahua) ชนเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่แถบเม็กซิโกและอเมริกากลางเชื่อว่า โลกถูกสร้างขึ้นและจับวางไว้บนจระเข้ยักษ์ชิพาคตลิ (Cipactli) ซึ่งถูกควบคุมอีกทีโดยเทพเจ้าหน้าตาเหมือนเสือจากัวร์ชื่อ เทเพโยลลอตล์ (Tepeyollotl) เมื่อไหร่ก็ตามที่จระเข้ยักษ์พยายามสะบัดตัว จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น
ชนเผ่าโคโรเทกัส (Chorotegas) ในคอสตาริกา เชื่อว่าโลกของเรานั้นแบนราบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มี เทพเจ้าวาชาคเมน (Vashakmen) คอยพยุงโลกไว้ทุกมุม และเมื่อไหร่ที่เทพเจ้าเห็นว่าประชาชนบนโลกมีมากเกินไปก็จะสะบัดโลกเพื่อให้คนบนโลกนั้นกระเด็นออกไป
ตำนาน ความเชื่อและกุศโลบายของชาวอเมริกาใต้
ฝั่งอเมริกาใต้ ชนเผ่ามาอิมาส (Maimas) ในเปรู อ้างว่ามีเทพเจ้าองค์หนึ่งมีหน้าที่สำรวจประชากรคนบนโลก ซึ่งเมื่อไหร่ที่เทพเจ้าต้องลงมาบนพื้นโลกเพื่อนับจำนวนคน ทุกย่างก้าวของเทพเจ้าก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว และเพื่อให้การสั่นสะเทือนของแผ่นดินเกิดน้อยลง ทุกครั้งที่เทพเจ้ากำลังเดินไปนับคนตามบ้านต่าง ๆ ชาวเปรูก็จะช่วยแบ่งเบาภาระด้วยการรีบวิ่งออกมานอกบ้านแล้วตะโกนไปบนฟ้าว่า “ฉันอยู่นี่ๆ” ซึ่งก็เป็นกุศโลบายให้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นหนีออกมาตั้งหลักข้างนอก ก่อนที่จะได้รับอันตรายจากบ้านที่อาจจะพัง
ตำนานแผ่นดินไหวของชาวแอฟริกา
ในแอฟริกา คนโมซัมบิก เชื่อว่าโลกคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมหรือการแสดงออกเหมือนกับสัตว์หรือมนุษย์อย่างเรา ๆ ในบางครั้งเมื่อโลกป่วย โลกจะหนาวสั่นจนทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ชาวแอฟริกันตะวันตก เชื่อว่ามียักษ์ตนหนึ่งแบกโลกไว้บนหัว ทุกครั้งที่ยักษ์เกาหัวหรือโยกหัวก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ในขณะที่ ชาวแอฟริกันตะวันออก เชื่อว่ามีปลายักษ์ถูกทับไว้ด้วยก้อนหิน และมีวัวตัวหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหิน ใช้เขาข้างหนึ่งแบกโลกเอาไว้ ทุกครั้งที่เมื่อยล้ามันจะสะบัดโลกไปไว้ที่เขาอีกข้าง ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
มุมมองของนิวซีแลนด์และหมู่เกาะในแปซิฟิกกับตำนานแผ่นดินไหว
คนในนิวซีแลนด์ เชื่อว่าโลกเปรียบเสมือนแม่ที่มีลูก คือ เทพเจ้ารู (Ru) อาศัยอยู่ภายในท้องของแม่ (โลก) เมื่อใดที่ลูกดิ้นก็จะเกิดการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน ชนเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่ตาม หมู่เกาะทะเลใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิก เชื่อว่าโลกถูกห้อยโทงเทงอยู่บนหลังของหมูอ้วนยักษ์สกปรก เมื่อหมูคันหลังมันจะถูหลังกับต้นไม้ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและเสียงคล้ายเสียงฟ้าร้อง
ความเชื่อในเอเชีย
ชุมชนโบราณที่อาศัยอยู่แถบคาบสมุทรคัมชัทกา (Kamchatka) ทางไซบีเรียตะวันออกของรัสเซีย เชื่อว่า เทพเจ้าตูลิ (Tuli) ลากเลื่อนหิมะที่บรรทุกโลกไว้ โดยใช้สุนัขตัวเขื่องเป็นตัวขับเคลื่อน เมื่อสุนัขเกาหูเกาหาง แผ่นดินก็จะไหว ในขณะที่วัฒนธรรมของไซบีเรียแถบอื่น ๆ เชื่อว่าโลกถูกสร้างโดยเทพเจ้าวางไว้สุดปลายมหาสมุทรและมีปลายักษ์สามตัวอยู่ใต้ดิน เมื่อปลาแหวกว่ายก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้เช่นกัน
ในทวีปเอเชีย ชนเผ่าคูคีส (Kukis) ใน รัฐอัสสัม ชมพูทวีป รอยต่อระหว่างประเทศบังคลาเทศและจีนเชื่อว่า มีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ใต้พื้นโลก และพยายามจะเขย่าโลกอยู่ตลอดเวลา เพื่อสำรวจว่ามีคนอื่น ๆ อาศัยอยู่บนพื้นโลกหรือไม่ เด็ก ๆ ในแถบรัฐอัสสัม จึงมักตะโกนว่า “ฉันยังอยู่นี่ๆ” เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ประมาณว่ารู้แล้วก็หยุดเขย่าเสียที
ตำนานแผ่นดินไหวชาวมองโกเลีย เชื่อว่ากบยักษ์แบกโลกไว้บนหลังและนอนหลับอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่กบตื่นและขยับตัวแผ่นดินก็จะไหว ส่วน ชาวจีนในอดีตก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าแผ่นดินไหวเกิดจากพญามังกรที่อาศัยอยู่ใต้พื้นดิน
ในขณะที่นิยายปรัมปราของ ชาวอินเดีย (ฮินดู) เล่าว่าใต้โลกมีช้าง 4 เชือกหนุนแผ่นดินอยู่ ช้างยืนอยู่บนเต่า ซึ่งเต่านอนทับอยู่บนงูเห่า เมื่อใดที่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งขยับตัวก็เกิดแผ่นดินไหวเช่นกัน แต่บางพื้นที่ของอินเดียกลับเชื่อว่า ซาตาน 7 ตน มีหน้าที่เฝ้าสวรรค์ชั้นล่างสุด 7 พื้นที่ย่อย แต่ละตนผลัดกันลาพักร้อนขึ้นมายังโลก ซึ่งจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ชาวฮินดูทางตอนเหนือเชื่อว่า พระเจ้าบาทารา (Batara) เป็นผู้สร้างผืนแผ่นดินดังที่เห็นในปัจจุบันขึ้น โดยยื่นผงดินเต็มกำมือไปให้ลูกสาวที่อาศัยอยู่ที่ขอบมหาสมุทรอันไกลพ้น ลูกสาวจึงนำไปถมพื้นน้ำ กลายเป็นทวีปต่างๆ ทั่วโลก แต่กลับทำให้พญานาคปาโฮโฮ (Naga Pahoho) ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรนั้นโกรธ จึงสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อพัดเกาะต่าง ๆ ให้ลอยออกไปไกล ๆ พระเจ้าเลยส่งดินมาเพิ่มพร้อมกับผู้ควบคุมและกรงเหล็กเพื่อกักขังพญานาคตนนั้น พญานาคพยายามที่จะต่อสู้ แต่ผลที่ได้คือทำให้แผ่นดินไหวและชั้นหินบิดเบี้ยว ตลอดจนแนวเทือกเขามากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้
และนี่คือทั้งหมด 7 ตำนานแผ่นดินไหว ที่เราได้นำมาฝากเพื่อน ๆ ชาว Ghostsfolder จริง ๆ แล้วเรื่องเล่าพวกนี้เป็นแค่บางส่วนของความเชื่อและความศรัทธาที่คนในอดีตเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งไม่มีการระบุหรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร รวมไปถึงไม่มีการพิสูจน์ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็มิอาจะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วการเกิดแผ่นดินไหวบนโลกนั้น อาจจะไม่ช่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นได้
- รวม 5 เรื่องหลอน จาก หนังสือเรียน ยุค 90 มานะ มานี ปิติ ชูใจ - December 6, 2024
- เปิดเรื่องหลอน “ตุ๊กตาผีสิง” วิญญาณเจ้าสาวเกลียดผู้ชาย โจมตีไปแล้ว 17 คน - November 29, 2024
- รู้จัก 4 นักไสยเวทย์ ระดับพิเศษ ใน มหาเวทย์ผนึกมาร (Jujustu Kaisen) *สปอยล์ มีตัวละครตาย* - November 26, 2024