ปีศาจ หนึ่งในตัวละครที่เกิดการความคิดของเหล่าอิสระชนและประสบการณ์ สัญลักษณ์แนวคิดก้าวหน้าล้ำสมัย มีหลายแง่มุม ซึ่งเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม และตำนาน ที่เข้ามาหลอกหลอนให้ผู้ยึดติดอยู่กับคุณค่าของมุมมอง พร้อมปฏิเสธการยอมโลกรูปแบบใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ท้าทายอำนาจของแสงแห่งความสว่าง กับเรื่องเล่าจากวลีเด็ด “การขายวิญญาณให้ปีศาจ” ไอค่อนสำคัญจากเทพนิยายปรัมปรา
จุดกำเนิดของปีศาจ
คำว่า ‘ปีศาจ’ (Demon) หมายถึง ‘ผี’ หรือ ‘วิญญาณชั่วร้าย’ ซึ่ง Demon มาจากคำว่า Daimōn ในภาษากรีกซึ่งแปลว่า เทวดา อัจฉริยะ หรือมาจากคำว่า Daemonium ในภาษาละติน แปลว่า วิญญาณร้าย ส่วนในภาษาสันกฤตแปลว่าผู้กินเนื้อ นิยมเรียกว่าอสุรกายชนิดหนึ่งตามคติศาสนาแบบอินเดีย
แต่เดิมปีศาจหมายถึงสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณที่มีอิทธิพลต่อลักษณะของบุคคล ถ้าพิจารณาจากความเชื่อเรื่องปีศาจ (Demon) จะมาคู่กับความเชื่อเรื่องของเทวดา (Angel) เสมอ ซึ่งสองสิ่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แยกความดีออกจากความชั่ว เหมือนกับการให้ภาพบนสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของเทวดา ในดินแดนสุขาวดีแสนอุดมสมบูรณ์ และภาพนรกอันเป็นที่อยู่ของปีศาจ ในแดนอนธกาล เร่าร้อนและเต็มไปด้วยทุกขเวทนา
‘ปีศาจ’ และ ‘ซาตาน’ ความเหมือนกันที่แตกต่าง
วัฒนธรรมสมัยนิยม สามารถใช้คำว่า ‘ปีศาจ (Demon)’ และ ‘ซาตาน (Satan)’ แทนกันได้ แต่อาจมีความหมายต่างกันไปในบริบทต่าง ๆ โดย ‘ซาตาน’ (Satan) ในศาสนาคริสต์ อาจดูเหมือนเหล่าเทวทูตนิสัยชั่ว กบฏต่อพระเจ้าจนถูกขับออกจากสวรรค์ ถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่มีเจตนาร้ายต่อมนุษย์ ล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาป ต่อต้านพระประสงค์ของพระเจ้า ส่วนส่วนคำว่า ‘ปีศาจ’ (Demon) เป็นคำทั่วไป สามารถใช้เพื่อสื่อถึงสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่มีเจตนาร้ายต่อมนุษย์ หรือวิญญาณชั่วร้ายในทางศาสนาได้
โดยในบางวัฒนธรรม ปีศาจถูกมองว่ามีตัวตนจำเพาะเจาะจง ขณะที่บางวัฒนธรรมก็ถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่แสดงถึงความชั่วร้ายและการล่อลวง
หน้าตาที่แท้จริงของปีศาจ
เชื่อกันว่า ปีศาจ ในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งเรียกถึงความชั่วร้ายที่เกิดพรรณนา หากแต่แท้จริงแล้วเจ้าปีศาจก็มีรูปลักษณ์และหน้าตาที่แท้จริงเช่นกัน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์หรือถ้อยคำที่มนุษย์ใช้แทนสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่มีเจตนามุ่งร้าย ในขณะเดียวอาจหมายถึง รูปลักษณ์และหน้าตาที่แท้จริง ถูกกำหนดไว้ด้วย ศาสนา ความเชื่อและตำนานที่แตกต่างกันในแต่พื้นที่และบริบททางวัฒนธรรม แม้ว่าจะพูดถึงปีศาจชื่อหรือชนิดเดียวกัน แต่แค่ต่างศาสนา ต่างพื้นที่ ต่างยุคสมัย ภาพตัวตนของปีศาจนั้นก็แตกต่างกันแล้ว
อย่างไรก็ตามก็มีลักษณะที่เป็นสากลในยุคปัจจุบัน กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เรียนแทน นั่นก็คือ ปีศาจหัวแพะ (Goat-Headed Demon) ซึ่งหากลงรายละเอียดแล้ว รูปร่างหรือหน้าตานี้ไม่ได้มาจากคัมภีร์ไบเบิล แต่มาจากตำนานโบราณต่าง ๆ ที่นำมาผูกโยง ผสมผสานกับการตีความทางศิลปะในแต่ละยุคสมัย ก่อให้เป็นรูปร่างที่รู้เป็นทั่วกัน ทำให้มีตำนานจากหลากหลายพื้นที่ที่น่าสนใจดังนี้
รังสรรค์สัญลักษณ์ของปีศาจด้วยปลายพู่กัน
ในช่วงปี ค.ศ. 1856 มีศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง นามว่า ‘เอลีฟาส เลอวี’ (Eliphas Lévi) ได้ตีความรูปลักษณ์ของ ‘บาโฟเมต’ (Baphome) เป็นเทพสิงสู่ที่อัศวินเทมพลาร์ถูกกล่าวหาว่าแอบเคารพบูชา ต่อมาถูกรวมไว้ในประเพณีลึกลับและไสยเวทมนตร์ เนรมิตออกมาเป็นครึ่งคนครึ่งแพะ แสร้งสื่อถึงสองขั้วตรงข้ามในจักรวาลและความสมดุล เช่น ความเลว-ความดี ความมืด-แสงสว่าง
อียิปต์โบราณ วัฒนธรรมที่ส่งต่อความน่ากลัวของตำนานปีศาจ
ตำนานหนึ่งของอียิปต์โบราณที่มีความเป็นไปได้สูง นั่นก็คือ ปีศาจหัวแพะอาจมีที่มาจากตำนานเทพเจ้าอียิปต์ นามว่า ‘บาเน็บเดเด็ต’ (Banebdedet) เทพเจ้าที่มีเศียรเป็นแพะ และมีร่างกายเป็นมนุษย์ มีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ การฟื้นฟู และชีวิตหลังความตาย นั่นอาจสันนิฐานถึงความเป็นไปได้ว่าอาจส่งอิทธิพลต่อแนวคิดของรูปลักษณ์ปีศาจในภายหลัง
พญามาร ปีศาจในร่างมนุษย์จากตำนานความเชื่อของศาสนาพรามหณ์-ฮินดู
โดยเกิดจากการอ้างอิงถึงพระไตรปิฎกบางพระสูตร ได้กล่าวว่า ปีศาจหรือมารนั้น มีทั้งที่แบบมีตัวตน สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ พระ พราหมณ์ ชาวนา หรือแม้แต่สิงสาราสัตว์อย่างช้าง งู หรือวัว ได้ แล้วยังมีมารที่ไม่มีรูปร่าง เช่น มารที่เป็นความตาย (มัจจุมาร), มารที่เป็นเทพบุตร (เทวปุตตมาร) และ กิเลสมาร
.
ถึงแม้ว่าในแต่ละพื้นที่มีการอธิบายรูปร่างและหน้าตาที่แท้จริงของปีศาจ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังตกค้างในตระกอนความคิดนั่นก็คือ มนุษย์ เป็นสัตว์สังคมทุกยุคทุกสมัยมักรังเกียจเดียจฉันความน่าเกลียด และเทิดทูนยกยอความงดงาม แล้วเหตุใด ถึงได้มีการขายวิญญาณให้ปีศาจเกิดขึ้น ?
ทำไมปีศาจถึงได้เป็นตัวแทนแห่งความน่าเกลียด น่ากลัว แล้วแบบนั้นมุนษย์อย่างเรา จะหลงคารมณ์นั้นได้อย่างไร ในเมื่อปีศาจนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด ละเลย ละทิ้ง และดื้อรั้น
.
ส่วนตัวแล้วคิดว่าปีศาจคงเป็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าหลงใหล งดงามและน่าดูดดึง รูปร่างต้องตรงตามมาตราฐานความสวยและมีใบหน้าอันหล่อเหลา มีเสน่ห์แรงเกินห้ามใจ ถึงขั้นมอมเมาให้มนุษย์หลงลืมสติสัมปชัญญะไปจนกระทั่งยอมขายวิญญาณให้
ลัทธิผี-ปีศาจ
หากกล่าวถึงความเป็นได้เรื่องตำนานและความเชื่อ เรื่องที่ตามมาไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจาก ลัทธิผี-ปีศาจ โดยมีคำพูดอ้างอิงจาก ‘อัลลัน คาร์เดค’ (Allen Kardec) นักวิชาการที่ทำการศึกษาและค้นคว้า วิจัยเรื่องเหนือธรรมชาติ บอกว่า “ลัทธิปีศาจคือวิทยาศาสตร์ที่อุทิศให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูปร่างและมนุษย์” นั่นหมายความว่า ไม่ใช่ศาสนาแต่เป็นปรัชญาและ “วิถีชีวิต” ไม่มีแม้แต่ทูตหรือการประชุมกลุ่มซึ่งประกอบด้วยการแบ่งปันความคิดเกี่ยวกับวิญญาณ
- พระคัมภีร์มีการกล่าวถึงการห้ามเกี่ยวข้องกับลัทธิผีปีศาจไว้อย่างชัดเจน คนของพระเจ้าต้องไม่พยายามติดต่อกับผีหรือปีศาจ การใช้เวทมนตร์เป็นกิจกรรมลึกลับที่พระเจ้าสงวนไว้ – พระคัมภีร์ เลวีนิติ 19 วรรค 31, 20 วรรค 6
- ไม่มีสิ่งใดในพระคัมภีร์ที่แนะนำว่าวิญญาณจะกลับคืนสู่ดินแดนของคนเป็นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดหรือในรูปแบบใดๆ ก็ตาม เรารู้ว่าซาตานเป็นผู้หลอกลวง – พระคัมภีร์ ยอห์น 8 ววรค 44
- ลัทธิผีปีศาจไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์และเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณ “จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” – พระคัมภีร์ 1 เปโตร 5 วรรค 8
ด้วยแรงปรารถนาของมนุษย์ การก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยการขายวิญญาณ
“ พรของมนุษย์คือกิเลสชั้นยอด ! และกิเลส ก็เปรียบเสมือนของหวานของเหล่าปีศาจ ”
– Tales Reader ห้องสมุดเทพนิยาย
เราทุกคนล้วนแล้วแต่เคยได้ยินเกี่ยวกับการขายวิญญาณให้ปีศาจ เพื่อแลกกับความดังและการมีหน้าตาในสังคม ยอมแลกเลือดกับถ้อยคำยกยอปอปั้นนั่นได้อย่างไม่นึกเสียดาย แล้วมันมีสักกี่ขั้นตอนกันล่ะ ถ้าเราเกิดอยากขายวิญญาณให้ปีศาจจริง ๆ
1. ติดต่อกับมิติลี้ลับ
สิ่งแรกที่ควรตระหนักก่อนจะเริ่มทำพันธะสัญญากับปีศาจ คือ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการติดต่อกับสิ่งลี้ลับในมิติทับซ้อน ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่อย่างนั้นเราคงติดต่อกับดวงวิญญาณหรือมนุษย์ต่างดาวได้ไปแล้ว ฉะนั้น ใช่ว่าคุณลองทำตามทุกวิธีที่ฉันบอกแล้วพันธะสัญญานี้จะเสร็จสมบูรณ์
2. จำไว้ว่าปีศาจไม่ได้มีตนเดียวในโลก
แล้วแต่ละตัวตนยังมีความถนัดหรือบาปแตกต่างกันด้วย เช่น
- ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ปีศาจแห่งความหยิ่งยโส หลงตัวเองมากเกินไป อยากจะดีเด่นเกินผู้อื่น
- แมมมอน (Mammon) ปีศาจแห่งความโลภ เห็นแก่ตัว ลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทอง
- เบลเซบับ (Beelzebub) ปีศาจแห่งความตะกละ เสพสุขอย่างไม่ยั้งคิด สนองความต้องการของตนเองอย่างไม่รู้จักพอ และไม่สนใจผิดถูกว่าของตนเองหรือของใคร
3. สร้างพันธะสัญญา
หลังจากติดต่อกับปีศาจได้แล้ว สิ่งที่คุณต้องเข้าใจอีกเรื่องคือ ไม่ว่าโลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ก็ดี ทุกภพภูมิทำงานเหมือน ระบบราชการ ที่ต้องใช้เอกสารประกอบ
แต่มิติวิญญาณจะต่างจากโลกมนุษย์ตรงที่พวกเขายึดถือคำพูดมาก แค่เปรยสั้น ๆ ก็อาจกลายเป็นพันธะสัญญาที่มีผลทางศาลสวรรค์หรือศาลปีศาจได้ พันธะสัญญาที่คุณทำในบางตำนานก็บอกว่าคุณสามารถอธิษฐานด้วยแรงจิตถึงปีศาจได้ ในบางตำนานก็บอกว่า ต้องเขียนความปรารถนาของตนเองใส่กระดาษ แล้วนำไปฝังดินที่ทางสามแพร่งหรือสี่แพร่งของถนนที่มีหมายเลข 6 โดยไม่จำเป็นต้องเขียนข้อแลกเปลี่ยนใด ๆ เพราะเมื่อถึงเวลาของมัน มันก็จะมาเอาสิ่งที่ต้องการจากคุณเอง
ปีศาจ สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ ตัวตนแห่งการหลอกลวง
กล่าวคือ ปีศาจมักจะปล่อยให้มนุษย์อย่างเราได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จอย่างเต็มที่ไปชั่วขณะ และในตอนที่คุณขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้วนั้น มันก็จะฉุดคุณลงมายังขุมนรกและแผดเผาจนไหม้คุณทั้งเป็น หากหลงเชื่อแล้วคุณก็อาจจะกลายเป็นเหล่ามนุษย์ที่ตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น เพราะความปรารถนานั้นมีค่ามากกว่าชีวิตอันระหองระแหง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เกิดที่ไหน และมีจุดกำเนิดความรู้สึกนึกคิดอย่างไร คุณก็ไม่อาจพ้นกิเลส หรือความปรารถนาที่แรงกล้า
.
อย่างที่เราได้เห็นกับหลายกรณีกับเหล่าศิลปินต่าง ๆ ในอดีต ที่ขึ้นชื่อว่าขายวิญญาณให้ปีศาจแลกกับความโด่งดังของตนเอง จะมีใครบ้างหรือมีเรื่องราวอย่างไรสามารถติดตามได้ที่บทความต่อไปที่ ghostsfolder.com
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025