หลังจากที่เราได้เข้าไปฟังพอดแคสรายการหนึ่งใน Spotify ความน่าสนใจของคดีฆาตกรรมที่คร่าชีวิตคนแบบไร้ความเมตตา อีกทั้งเนื้อหาที่ทำให้รู้สึกหดหู่นั้นทำให้เรื่องราวมีอะไรน่าคิดต่อมาขึ้น คงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าความรักไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้ตามความรู้สึก จึงก่อให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และในวันนี้เรื่องที่เราจะมาเล่านั่นก็คือคดีฆาตกรรมจากประเทศอิตาลี กับการเชือดสาวหมกโบสถ์
เล่าเหตุการณ์คดีฆาตกรรม เปิดด้วยการพบศพ
เมื่อวันพุธที่ 17 มีนาคม ปี 2010 ณ เมือง โพเทนซ่า ประเทศอิตาลีซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างคึกคัก ทางโบสถ์ ตรินิต้า ได้ทำการว่างจ้างให้คนงานก่อสร้างจำนวนหนึ่งเข้าไปทำการตรวจสอบและซ่อมแซ่มหลังคาที่มีอาการน้ำรั่วมาตลอดเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากมีฝนตกบ่อยครั้ง ซึ่งโบสถ์แห่งนี้มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นห้องโถงอันกว้างขวาง เมื่อขึ้นไปตามบันไดก็จะตรงไปถึงชั้น 2 ส่วนชั้น 3 นั้น ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า โดยมีเพียงบาทหลวงของโบสถ์เท่านั้นที่ถือกุญแจไว้ หลังจากที่ทีมช่างได้ขึ้นไปตรวจสอบห้องใต้หลังคาของโบสถ์เพื่อค้นหาสาเหตุ หลังจากไขประตูเข้าไป พวกเขาก็ปะทะกับสิ่งไม่พึงประสงค์สักเท่าไหร่นัก เพราะกลิ่นความอับชื้นมันตีเข้าหน้าเต็ม ๆ ทั้งความชื้น เชื้อราและฝุ่นต่าง ๆ มันตลบอบอวลอยู่เต็มบริเวณแห่งนี้ แต่ทว่านอกจากกลิ่นที่คุ้นชินแล้วยังได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยมาแตะจมูกให้ความรู้สึกแปลกใจ แต่พอเขาได้ใช้ไฟฉายสอดส่องไปยังมึมห้อง ก็ต้องตกใจจนเป็นลม เพราะสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่ได้ปรากฎอยู่ตรงนั้นคือ ร่างของมนุษย์กำลังนั่งอยู่
ทีมช่างก็หนีกันอลม่าน พอตั้งสติได้ก็มีการโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางตำรวจก็ได้ขึ้นมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ แล้วค้นพบว่าศพนั้นเป็นร่างของผู้หญิง หากดูจากลักษณะภายนอกที่ค่อนข้างเน่าเปืแยไปมาก ทำให้มีการคาดการณ์ว่าน่าจะเสียชีวิตและถูกทิ้งให้อยู่บนนี้มาเป็นเวลานานมาก ๆ บวกกับมีการพบว่าในมือของหญิงสาวคนนี้นั้นยังได้กำเส้นผมกำหนึ่งเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ส่วนกางเกงยีนส์ที่สวมใส่นั้นก็อยู่ในสถาพถูกดึงลง กางเกงในของเธอมีรอยฉีกขาด ทำให้ทางตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะโดนล่วงละเมิดทางเพศก่อนจะนำศพมาซ่อนเอาไว้ อีกทั้งตำรวจเองก็ได้ตรวจสอบหลักฐานอื่น ๆ ภายในห้อง ก็ไม่พบอะไรอื่น ๆ อีก นอกจากแว่นตา รองเท้าแตะ ฟูกที่นอนและกระดุมสีแดงหนึ่งเม็ด สิ่งที่มายืนยันสถานการณ์ตอนนี้ได้ ตำรวจจึงมั่นใจว่านี่คือคดีฆาตกรรมแน่นอน เพราะหลักฐานอื่น ๆ ที่พบนั้น ยังมีคราบเลือด คราบของเหลว น้ำลาย ซึ่งมีการระบุได้ว่ามาจากผู้ชาย ที่สำคัญกระดุมสีแดงเม็ดนั้นมันไม่ใช่ของเธอ แต่อาจจะเป็นของคนร้าย
หลังจากการตรวจสอบ DNA เพิ่มเติม ตำรวจก็พบว่า เจ้าของร่างนี้คือ ผู้เคราะห์ร้ายคนนี้มีชื่อว่า เอลิซ่า แคลปส์ (Elisa Claps) ซึ่งข้อมูลนี้ไปสอดคล้องกับการแจ้งคนหายเมื่อ 17 ปีก่อน โดยผู้แจ้งคือ กิลโด แคลปส์ (Gildo Claps) พี่ชายแท้ๆ ของ เอลิซ่า นั่นเอง ดังนั้นตำรวจจึงติดต่อ กิลโด ให้ทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องสาวทันที
ทางทีมตรวจสอบ DNA ได้แจ้งว่า ศพที่พบนั้นคือ เอลิซ่า แคลปส์ โดยข้อมูลนี้มันไปเกี่ยวข้องกับการแจ้งคนหายเมื่อ 17 ปีก่อน โดยผู้แจ้งความคือพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ กิลโด แคลปส์ ตำรวจจึงทำการติดต่อไปเพื่อให้ทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องสาวทันที
ร่องรอยบนศพ
จากการรายงานจากทางนิติเวชพบว่า บนร่างของผู้เสียชีวิตมีบาดแผลทั้งหมด 13 จุด ซึ่งเกิดจากอาวุธมีคมทั้งหมด ตรงส้นเท้าของศพก็พบเศษซากบางอย่างด้วย โดยจากการตรวจแล้วก็พบว่าเป็นกรวดแบบเดียวกันกับพื้นห้องใต้หลังคา ทำให้มีการคาดว่า เหยื่ออาจจะมีชีวิตอยู่ได้เดินขึ้นมาถึงห้องใต้หลังคาแห่งนี้ หลังจากนั้นเหยื่อจึงถูกทำร้ายและยืนยันว่านี่คือคดีฆาตกรรมอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตได้เพราะสภาพศพของเธอนั้นเน่าเปื่อยไปมาก โดยสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากอาวุธหรือของมีคม ส่วนเส้นผมที่เธอกำอยู่ก็เป็นผมของเธอเอง อีกทั้งยังถูกตัดออกมาอีกด้วย แว่นตากับรองเท้าแตะก็ยังเป็นของเหยื่อ ส่วนคราบเลือดและน้ำลายที่พบก็ไม่ใช่ของเธอ ฟูกที่อยู่ข้าง ๆ ของศพ พบของเหลวของผู้ชาย จึงยืนยันได้ว่าห้องใต้หลังคาก็คือสถานที่เกิดเหตุที่แรก
เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุจากปากพยานในคดีฆาตกรรมสุดสลด
กิลโดให้การว่าในวันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน เอลิซ่าได้บอกว่าจะออกไปที่โบสถ์เพื่อร่วมพิธีมิสซา และรับปากจะกลับมาก่อนบ่ายโมง เพื่อร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัว กิลโดได้เล่าต่อว่าตัวเขาเองได้รีบโทรติดต่อเพื่อนผู้หญิงที่เข้าร่วมพิธีมิสซากับเอลิซ่าและได้พบความจริงว่าในวันนั้นเอลิซ่าไม่ได้ไปโบสถ์เพียงเพื่อไปทำพิธีมิสซาเท่านั้น แต่เธอแอบนัดเจอผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้ด้วย โดยชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า ดานิโล เรสติโว่ หลังจากพิธีมิสซาสิ้นสุดลงในเวลา 13.00 น. คนก็ทยอยกันกลับ ทางเอลิซ่าเองก็เดินมาหน้าประตูใหญ่ก่อนจะบอกกับเพื่อนคนนั้นว่า ตัวเองนั้นจะกลับออกมาหลังจากนี้อีกครึ่งชั่วโมง พอเธอพูดจบก็หันกลับเข้าโบสถ์ไปทันที
ทางครอบครัวได้เห็นว่าเวลาก็เลยมานานแล้ว เอลิซ่าก็ยังไม่กลับบ้านมาสักที พอไม่ได้รับข่าวหรือไม่สามารถติดต่อเธอได้ ครอบครัวก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วง จึงออกตามหาที่โบสถ์ด้วยตัวเอง แต่หลังจากตามหาและค้นทั่วบริเวณแล้วก็ไม่พบวี่แววของน้องสาว จึงได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ แต่บาทหลวง ดอนมิมิ ซาเบีย มีธุระด่วนวันนั้นจึงกลับออกไปก่อนแล้ว ทำให้ไม่มีเห็นร่องรอยของเอลิซ่าเลย
มาทางด้านของ ดานิโล กันบ้าง เขาเป็นชายอายุ 21 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยในเมืองนาโปลีซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโพเทนซ่า ประมาณ 160 กิโลเมตร โดยดานิโลเขาชื่นชอบเอลิซ่าเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าคลั่งรักสุด ๆ ซึ่งตัวเขาเองเคยสารภาพรักกับเอลิซ่าไปแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธมา แต่ก็ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงตื๊อและพยายามที่เจอกับเอลิซ่าให้ได้ ความน่ากลัวของดานิโลเพราะพฤติกรรมของเขาที่มีต่อเอลิซ่า ทั้งการโทรหาอยู่บ่อยครั้ง และเอาแต่เปิดเพลงประกอบหนังสยองขวัญให้เอลิซ่าฟังแทน โดยหนังสยองที่ว่านั้นมีชื่อเรื่องว่า “Profondo Rosso (โปรฟอนโด รอซโซ่)” ซึ่งเป็นหนังเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมสยองขวัญ
จนล่าสุดดานิโลได้ติดต่อเจอมาบอกว่าการพบเธอ ให้เหตุผลว่าอยากมอบของขวัญพิเศษให้เนื่องจากเอลิซ่าสอบได้คะแนนดี เลยนัดหมายให้มาเจอกันที่โบสต์แห่งนี้ และหลังจากที่เธอไปพบกับดานิโลในวันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเธออีกเลย
เริ่มต้นสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรม
หลังจากที่ตำรวจดั้งเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงติดต่อไปหาดานิโลทันทีเพื่อสอบปากคำ ซึ่งทางดานิโลก็เล่าวันนั้นเขาหาเอลิซ่าที่โบสถ์จริง ๆ แต่ไปปรึกษาเรื่องเพื่อนของเธอ เพราะอยากจีบเพื่อนของเธอ แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี พอปรึกษาเสร็จเขาก็นั่งสวดมนต์ที่โบสถ์ต่ออีกสักพัก แต่ประเด็นคือไม่มีใครสามารถเป็นพยานได้เลยว่าเห็นเอลิว่าออกจากโบสถ์หรือเห็นว่าดานิโลนั่งสวดมนต์ต่อ แถมตำรวจยังพบอีกว่า ในบ่ายวันนั้น ดานิโลได้ไปที่โณงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อทำแผลที่มือ โดยยังมีประวัติการรักษาที่นั่น ซึ่งแพทย์เองก็บอกว่าวันนั้นดานิโลมาถึงในสภาพที่มีคราบเลือดเต็มไปหมด และยังดูร้อนรนบอกมีธุระด่วน แพทย์จึงทำได้แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนเขาจะรีบออกจากโรงพยาบาลไป
แถม ณ ตอนนั้น วันเกิดเหตุคดีฆาตกรรม สถานที่รอบข้างโบสถ์นั้นก็มีคนพลุกพล่าน แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของเอลิซ่าเลย น่าแปลกคือทีมสอบสวนเสนอว่าจะขึ้นไปหาบนชั้นบนของโบสถ์ดู แต่เพราะประตูห้องใต้หลังคานั้นได้ถูกล็อคไว้และบาดหลวงซาเบีย ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่มีกุญแจเข้าออก แต่เขากลับไม่อนุญาตให้ตำรวจเข้าไปค้นหาในห้องนั้น โดยอธิบายว่าเขาไม่รู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางขึ้นไปข้างบนได้อย่างแน่นอน และถ้าหากตำรวจขึ้นไปก็จะเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์ ทุกคนจึงต้องยอมหยุดการค้นหา ณ ที่ตรงนั้น
ทว่าหลังจากสอบสวนเพิ่มเติม ทางด้านเจ้าหน้าที่ได้พบกับภาพถ่ายใบหนึ่งของดานิโลได้มีภาพของบาทหลวงซาเบียคนนี้อยู่ด้วย โดยเจ้าตัวเล่าว่ามันเป็นรูปในงานวันเกิดครบ 18 ปีของตัวเองจึงเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าบาทหลวงนั้นรู้จักกับดานิโลก่อนหน้านี้ เท่ากับว่าบาทหลวงโกหกเจ้าหน้าที่
บทสรุปอันน่าเศร้าของคดีฆาตกรรม
ตำรวจเก็บตัวอย่าง DNA ของผู้ชาย ที่พบบนตัวเอลิซ่าและฟูกที่นอนไปตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบผล ปรากฏว่า DNA ทั้งหมดตรงกับดินิโล ขณะเดียวกันหลังจากตำรวจสอบสวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อนอย่างละเอียดพวกเขาก็พบว่าช่วงเวลาที่เกิดเหตุคดีฆาตกรรมนี้นั้นเสื้อผ้าของบาดหลวงซาเบีย เคยมีชุดหนึ่งที่กระดุมสีแดงหลุดหายไป แต่เนื่องจากบาทหลวงได้เสียชีวิตไปแล้วจึงไม่สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ ทั้งหลักฐานที่เจอบนฟูก คราบน้ำลาย และคราบของเหลว ก็ตรงกับดานิโล ทำให้เขาถูกตัดสินให้มีความผิดจริงข้อหาฆาตกรรม เอลิซ่า แคลปส์ และต้องจำคุกไป 30 ปี ในตอนสุดท้าย
บอกได้เลยว่า คดีฆาตกรรม นี่ เด็ดดวงมาก ๆ ต้องขอขอบคุณรายการ File Not Found ที่ผลิตผลงานและเล่าเรื่องราวแบบนี้มาเล่าสู่กันฟัง ทำให้เราได้ไปค้นหาเพิ่มเติม เผื่อเพื่อน ๆ จะชื่นชอบกับการเล่าเรื่องคดีแนว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ทางเว็บไซต์ของเรายังมีเรื่องผี เรื่องหลอนอีกมากมายที่น่าสนใจสามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Ghosts Folder – สารคดี – แฟ้มลับเรื่องสยองขวัญที่คุณอาจไม่เคยรู้
- “ความเชื่อ” ของการขอ “หวย” ทำไมต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์? - January 13, 2025
- คดีสยองขวัญ เมียฆ่าผัวตัดคอ ถลกหนัง ตัดหัวผัวต้ม ทำอาหารให้ลูกกิน - January 11, 2025
- เปิดแฟ้ม! รวมคดีฆาตกรรมหั่นศพแช่ตู้เย็นสยอง - January 9, 2025