เผ่ากินคน

เปิดตำนาน 7 ‘เผ่ากินคน’ เรื่องเล่าสะท้อนมุมมองวิชาการและความเชื่อผิด ๆ กับการกระทำที่ป่าเถื่อน

หัวข้อน่าสนใจ

เมื่อหลายวันก่อนเราได้ไปดูหนังเรื่องหนึ่งมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่หลงเข้าไปในป่าแล้วต้องเผชิญหน้ากับเหล่าเผ่ากินคน เราเลยอยากจะมาแชร์เรื่องราวของพวกเขาผ่านการวิเคราะห์มุมมองของวิชาการ ที่เน้นตั้งคำถามว่าสรุปแล้วพวกนั้นป่าเถื่อนจริงรึไม่

เรื่องเล่าสะท้อนมุมมองวิชาการและความเชื่อผิด ๆ กับการกระทำที่ป่าเถื่อน
เรื่องเล่าสะท้อนมุมมองวิชาการและความเชื่อผิด ๆ กับการกระทำที่ป่าเถื่อน

เผ่ากินคน กลุ่มคนไร้อารยกรรมที่มีอารยธรรม

เมื่อมนุษย์กินคนหรือเหล่าเผ่ากินคน ยังคงเป็นเรื่องที่ยังสร้างความน่าสงสัยและตั้งคำถามกับความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกับชาวตะวันตก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนป่าและชาวพื้นเมืองในเขตห่างไกลซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เป็นต้นมา ซึ่งเราก็ตั้งคำถามกันมาตลอดว่าแล้วเพราะเหตุผลอะไร ทำไมคนป่าเหล่านั้นจึงถูกมองแบบนั้น ทำไมคนป่าที่กินเนื้อมนุษย์จนถูกเรียกว่ามนุษย์กินคน มีพิธีกรรมที่แปลกประหลาด จึงได้กลายเป็นคนป่าเถื่อน ทั้งดุร้าย โหดเหี้ยม และดูไร้ศีลธรรมต่างจากพวกเรา

ชนเผ่าโคโรวาอิ (KOROWAI)

เป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่าลึก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปาปัว ประเทศอินโดนีเซีย อยู่ใกล้กับชายแดนปาปัวนิวกินี โดยชนเผ่านี้จะมีประชากรราว ๆ 3,000 คน ภาษาที่พวกเขาใช้เป็นภาษาที่อยู่ในตระกลู Awyu–Dumut โคโรวาอิได้มีการติดต่อโลกภายนอกครั้งแรกในปี 1970 และความน่าสนใจคือ โคโรวาอิคือชนพื้นเมืองกลุ่มสุดท้ายของโลกที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเผ่ากินคน อย่างไรก็ตามสำหรับพวกเขาการกินเนื้อมนุษย์ถือเป็นพิธีกรรมที่จะเกิดขึ้นเฉพาะในยามที่ปีศาจ คาคัว (khakhua) เข้าสิงร่างผู้คนเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นเหยื่อจะถูกรุมกินจนเหลือเพียง กระดูก , ฟัน , เครื่องเพศ และ เล็บ

ชนเผ่าโคโรวาอิ (KOROWAI)
ชนเผ่าโคโรวาอิ (KOROWAI)

ชนเผ่าแคริบ (CARIB)

กลุ่มชุมชนที่ก่อให้เกิดคำศัพท์ “Cannibal” ที่หมายถึง “มนุษย์กินคน” ตามประวัติศาสตร์นั้นว่ากันว่าชาวแคริบได้ติดต่อโลกภายนอกครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 15 โดยพวกเขาจะสร้างความหวาดหวั่นแก่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสและเหล่านักบุกเบิกอาณานิคม เมื่อตอนที่พวกเขาเดินทางไปถึงทวีปอเมริกาเหนือ มีการสันนิษฐานกันไว้ว่า ชาวยุโรปกลุ่มนี้พบเห็นเผ่ากินคน โดนชนเผ่าแคริบจะกินเนื้อมนุษย์ชนเผ่าอื่น ๆ ที่พ่ายแพ้ในการสู้รบ พอนักเดินทางได้เห็นพฤติกรรมแบบนั้น ทำให้โคลัมบัสและลูกน้องของเขาตัดสินใจเข้ายึดครองเกาะแห่งนี้รวมถึงหมู่เกาะอื่น ๆทันที

ชนเผ่าแคริบ (CARIB)
ชนเผ่าแคริบ (CARIB)

ชนเผ่าทูปิ (TUPI)

ชนเผ่าทูปิเป็นเผ่ากินคนที่มีจำนวนประชากรสูงถึง 1 ล้านคนในปี ค.ศ. 1500 ชนเผ่าทูปิแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม มักจะทำสงครามต่อสู้กันเพื่อแสดงความแข็งแกร่ง ฝ่ายใดได้รับชัยชนะก็จะจับตัวเฉลยไปทำพิธีกรรมการกินเนื้อมนุษย์ ด้วยความเชื่อที่ว่าการได้กินเนื้อศัตรูจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ซึ่งกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่แพร่หลายในสังคมที่พร้อมรบตลอดเวลา มีบันทึกไว้ด้วยว่าในบางครั้งชนเผ่าทูปิจะกินศพญาติของตน เพื่อเก็บรักษาความทรงจำถึงผู้จากไปอีกด้วย

ชนเผ่าทูปิ (TUPI)
ชนเผ่าทูปิ (TUPI)

ชนเผ่าโฟร์ (FORE)

เป็นหนึ่งในเผ่ากินคนที่น่าสนใจไม่น้อย วัฒนธรรมที่เห็นได้ชัดคือเมื่อมีสมาชิกครอบครัวเสียชีวิต เครือญาติทางฝ่ายแม่จะชำแหละศพเป็นชิ้น ๆ เพื่อเตรียมกิน จะเริ่มจากการตัดแขนและขา แยกท่อนแขนและขาออกจากกล้ามเนื้อ และนำอวัยวะที่ไม่ต้องการออกไป การกินเนื้อมนุษย์ของชนกลุ่มนี้คือสาเหตุการแพร่ระบาดของโรคคูรู (Kuru) โรคทางระบบประสาทที่ไม่มีทางรักษา โดยผู้ป่วยโรคคูรูจะถูกมองว่าเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีชั้นไขมันที่มีลักษณะเดียวกับเนื้อหมู ส่วนสมองของผู้ป่วยซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อโรคจะถูกนำไปเป็นอาหารของเด็กและคนแก่ ซึ่งกลายเป็นสาเหตุให้โรคแพร่ระบาดรวดเร็วยิ่งขึ้น และเผ่าโฟร์ได้มีการติดต่อกับโลกภายนอกครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1930

ชนเผ่าโฟร์ (FORE)
ชนเผ่าโฟร์ (FORE)

ชนเผ่าวาริ (WARI)

ชนเผ่าวาริเป็นที่รู้จักกันดีในแง่ของการเป็นเผ่ากินคนที่กินเนื้อพวกเดียวกันเอง (Endocannibalism) ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เผ่านี้มีความแตกต่างจากเผ่าอื่น ๆ เพราะการกินเนื้อมนุษย์ของเผ่าวาริจะเกี่ยวข้องกับพิธีศพ โดยญาติสนิทของผู้เสียชีวิตจะทิ้งศพไว้ 3 วัน เพื่อให้ความร้อนอันทารุณของป่าอะเมซอนย่อยสลายศพ แล้วเมื่อญาติทั้งหมดมาชุมนุมกันอวัยวะภายในของศพจะถูกนำออกจากร่างก่อนที่มันจะสุก ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดจะไม่ร่วมกินแต่จะเชิญให้ญาติคนอื่น ๆ เป็นผู้กินแทน โดยมีความเชื่อว่าดวงวิญญาณของผู้ถูกกินจะดำรงอยู่ในตัวผู้กินและการเฝ้ามองบุคคลในครอบครัวที่ตายไปแล้วถูกกินนั้นจะช่วยบรรเทาความเศร้าเสียใจของพวกเขาลงนั่นเอง

ชนเผ่าวาริ (WARI)
ชนเผ่าวาริ (WARI)

ชนเผ่าเมารี (Maori)

อาเบล แทสมัน นักสำรวจชาวฮอลแลนด์ ได้ค้นพบนิวซีแลนด์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1642 แต่กลับพบว่าลูกเรือถูกเผ่าเมารีฆ่าเพื่อกินเป็นอาหาร ประมาณหนึ่งร้อยปีหลังจากนั้น ค.ศ. 1769 เจมส์ คุก เหยียบแผ่นดินนิวซีแลนด์อีกครั้ง ทำให้ชาวยุโรปจำนวนมากเริ่มสนใจอย่างจะมาที่นี่ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกินครั้ง กล่าวคือชนเผ่าเมารีจะมีประเพณีฆ่าศัตรูมาเพื่อกินเป็นอาหาร พวกเขาเชื่อว่าหากกินศัตรูก็จะได้ความสามารถและความชำนาญของศัตรูมาไว้กับตัวเอง ทำให้ชื่อของชนเผ่าเมารีสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้ที่ได้ยินอย่างมาก แต่ไม่ต้องกลัวเพราะปัจจุบันไม่ใช่เผ่ากินคนแล้ว

ชนเผ่าเมารี (Maori)
ชนเผ่าเมารี (Maori)

ชนเผ่าเซนติเนล (Sentinelese)

มีเรื่องเล่ามากมายสำหรับเผ่ากินคน ชนเผ่าเซนติเนล ชนพื้นเมืองบนเกาะเซนติเนลที่ยึดมั่นกับจุดยืนเรื่องสังคมปิด ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกถือเป็นอีกหนึ่งชนพื้นเมืองไม่กี่แห่งในโลกที่ยังคงปิดตัวเองจากโลกภายนอกมาจนถึงปัจจุบันในยุคที่โลกไร้พรมแดนจากเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ ในศตวรรษที่ 21 กระทั่งข่าวหนุ่มชาวอเมริกันถูกยิงสังหารด้วยธนู

จำนวนประชากรบนเกาะยังไม่แน่ชัด แต่แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มีการคาดคะเนว่าจำนวนชนพื้นเมืองที่อาศัยบนเกาะน่าจะมีอยู่ระหว่าง 50-150 ราย ข้อมูลเมื่อปี 2011 พบชนพื้นเมืองที่อยู่ในวิสัยทัศน์ 15 ราย คาดว่าจำนวนประชากรน่าจะเริ่มลดลงแล้ว ในด้านของสำหรับการใช้ชีวิต เชื่อว่าพวกเขาประทังชีวิตด้วยการล่าหมูป่าและบริโภคอาหารทะเลอย่างหอยลาย ผลไม้และน้ำผึ้ง รายงานข่าวจากเดลิเมล์ อ้างว่า ชนพื้นเมืองกลุ่มนี้มีกิจกรรมทางเพศบนชายหาดอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังปฏิเสธการต้อนรับแขกส่วนใหญ่ และจะขับไล่อะไรก็ตามที่มีท่าที “รุกราน” ด้วยลูกศรอาบยาพิษหรืออาวุธอย่างมีดขนาดใหญ่

มีบันทึกของมาร์โค โปโล ข้อความระบุถึงชนพื้นเมืองบนเกาะที่เขาพบว่า “พวกเขาเป็นกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงและโหดที่สุดจากที่กินทุกอย่างที่จับได้” ซึ่งเป็นสิ่งที่ยินยันว่าพวกเขาเหล่าเซนติเนลเป็นเผ่ากินคนจริง ๆ

ชนเผ่าเซนติเนล (Sentinelese)
ชนเผ่าเซนติเนล (Sentinelese)

การเป็นเผ่ากินคน คือการมีสังคมที่ซับซ้อน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แท้จริงแล้วอะไรคือสิ่งที่สะท้อนออกจากการค้นพบวัฒนธรรมการกินมนุษย์ในหมู่เผ่ากินคน ขนาดเราที่เป็นมนุษย์คนนึงยังมีมุมมองว่า สิ่งที่ถูกเล่าต่อ ๆ กันมากับสิ่งที่ได้ไปพบเจอเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงเข้ากับความเชื่อ การขาดแคลนอาหาร สงครามและการมีทาส โดยเรื่องพวกนี้จะถูกอธิบายด้วยภาพของความที่เราไม่ค่อยอภิรมณ์ใจเสียเท่าไหร่นัก ทั้งภาพความน่ากลัว ความโหดร้าย นั่นทำให้พฤติกรรมการกินเนื้อมนุษย์ของพวกเขาเป็นเรื่องเกินความจริง

หากมองอย่างละเอียดดูแล้วพฤติกรรมการกินมนุษย์ของเผ่ากินคนอาจจะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หรือพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมาในสังคม ไม่ใช่การกระทำที่ป่าเถื่อนหรือรุนแรง แต่สิ่งที่เข้ามากำหนดขอบเขตนั้นคงเป็นเพราะการตัดสินทางศาสนาหรือแนวคิดเรื่องสิทธิแบบตะวันตกทำให้การกระทำแบบนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย ซึ่งเราก็ล้วนมองว่าพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกินมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของเหตุการณ์แต่ละยุคสมัยเสียมากกว่า อีกทั้งยังสามารถพบได้ตั้งแต่สังคมระดับชนเผ่าจนถึงสังคมที่เจริญรุ่งเรือง การกินเนื้อมนุษย์เองนั้นก็ไม่ได้มีเพียงเผ่ากินคนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวให้เห็นกันอยู่บ่อย ฉะนั้นการกินเนื้อคนนั้นก็มีเงื่อนไขในตัวเองไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือไร้การควบคุม

.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : pib.socioambiental , vox , books.openedition , talkdeath และ nationalgeographic

สามารถติดตามอ่านบทความตำนานของสิ่งลี้ลับที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ ghostsfolder.com

carpKoRN